นักรัฐศาสตร์ หนุนตั้ง"อปท.รูปแบบพิเศษ"ชู"มหาปัตตานีนคร"อย่ากลัวแยกดินแดน
"เอนก"ชี้กระจายอำนาจปัจจุบันทำท้องถิ่นอ่อนแอ "จรัส"หนุนจังหวัดจัดการตนเอง "วุฒิสาร"ชูต้นแบบเขตปกครองพิเศษแม่สอด "ศรีสมภพ"เสนอ 6ทางแก้ไฟใต้ หนุน"มหาปัตตานีนคร"ชี้อย่ากลัวแยกดินแดน
วันที่ 27 ม.ค.55 ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย ร่วมกับศูนย์ศึกษาและพัฒนาการปกครองท้องถิ่น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนา “คลื่นลูกที่สองของการกระจายอำนาจบริบทใหม่ ความจำเพาะของพื้นที่และการเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”ศ.(พิเศษ)ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักรัฐศาสตร์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง การกระจายอำนาจคือการคืนอำนาจให้ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ว่าย้อนมองการกระจายอำนาจของภาครัฐ กระทั่งเกิดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 องค์กรท้องถิ่นในภาพรวมถือเป็นมิติใหม่ทางการเมืองการปกครองไทย แต่ที่ผ่านมาการเมืองไทยยังเป็นระบบรัฐอธิปัติย์รวมศูนย์อำนาจผูกขาดมาตลอด โดยมีระบบราชการเป็นเครื่องมือ การจัดการงบประมาณกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง ท้องถิ่นขาดพลังในการจัดการตนเอง เกิดการเหยียดหยามท้องถิ่นเป็นความเชย ล้าหลัง ขณะเดียวกันรัฐส่วนกลางถูกมองว่าฉลาดรู้ทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงคนที่รู้เรื่องชุมชนคือองค์กรท้องถิ่น หากทศวรรษที่สองที่จะมีการกระจายอำนาจ ท่ามกลางการบริหารรัฐรวมศูนย์อย่างที่เป็นอยู่มีแต่จะทำให้องค์กรท้องถิ่นและชุมชนไทยอ่อนแอลง
ดร.เอนก กล่าวต่อว่า การทำงานของท้องถิ่นต้องไม่ใช่แบบระบบราชการ แต่ต้องเป็นไปด้วยความคล่องตัว อิสระ มีพลังอำนาจในการจัดการตนเอง รวมทั้งมีอำนาจในการจัดเก็บรายได้เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศต้องมองกระจายอำนาจในโมเดลใหม่ ด้วยการคืนอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่น ปลดโซ่ตรวนในชุมชนแก้กฎระเบียบที่ล้าหลัง
“รัฐไทยไม่ควรถืออำนาจไว้ถ่ายเดียว รัฐควรยอมรับศักยภาพของท้องถิ่น ถ้าเปลี่ยนจากเอกะนิยมเป็นพหุนิยมจะเห็นความงามที่หลากหลาย สิ่งที่นายกรัฐมนตรีต้องทำคือเชิญท้องถิ่นเข้ามาร่วม รัฐบาลต้องกระตุ้นให้องค์กรท้องถิ่นทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ระเบียบไหนที่โง่เขลาและล้าหลังต้องแก้ไข สิ่งที่ผมคิดไม่ใช่กระจายอำนาจแต่เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะอำนาจเป็นของประชาชนที่รัฐรวมศูนย์ไปยึดเอามาตั้งแต่ปี 2535 สรุปคือต้องให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองมากขึ้น”
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวคิดจังหวัดปกครองตนเอง เรื่องการเงินการคลังเป็นเรื่องสำคัญของท้องถิ่น ระบบการกระจายอำนาจแบบครึ่งๆกลางๆในทศวรรษแรกที่ผ่านมาที่ท้องถิ่นต้องพึ่งพารัฐบาลกลางจะนำไปสู่จุดจบเป็นการล่มสลายของท้องถิ่นเอง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก ทางเลือกคือต้องทำให้กระจายอำนาจท้องถิ่นพึ่งตนเองได้จริง สามารถดูแลตัวเองและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่พึ่งรัฐบาลกลางอย่างเดียว
“ที่ผ่านมาจังหวัดใหญ่ที่เก็บภาษีสูงสุดได้แก่ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง ขอนแก่น ค่าเฉลี่ยภาษีต่อจีดีพีเกิน 20 % ส่วนจังหวัดที่มีการจัดเก็บภาษีต่ำสุดคือจังหวัด สตูล พังงา ยะลา กระบี่ ระนองประมาณการต่ำกว่า 5% จังหวัดที่โตความจริงไม่ได้โตด้วยการพัฒนาจังหวัด แต่โตเพราะการสนับสนุนของรัฐบาลกลาง ซึ่งตรงนี้รัฐต้องเร่งปรับเปลี่ยนเพื่อให้จังหวัดมีอำนาจจัดการตนเอง ถ้าไม่ทำการกระจายอำนาจจะถึงทางตันและเป็นจุดจบของท้องถิ่น”
ด้าน รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นพิเศษตามรัฐธรรมนูญปี2550 ระบุไว้ในมาตา 78,284 ที่เปิดโอกาสให้สามารถตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ถ้าจังหวัดใดมีความพร้อมสามารถทำได้ทันที โดยแนวคิดเริ่มมาจากการจัดการเมืองให้เป็นไปตามสภาพพื้นที่เมืองที่เหมาะสม เพราะเมื่ออำนาจกระทรวงทบวงกรมเข้ามาจัดการบริหารท้องถิ่นแต่ไม่มีประสิทธิภาพจึงทำให้มีการเรียกร้องเพิ่มอำนาจของท้องถิ่นขึ้น กรณีเขตปกครองพิเศษแม่สอดเห็นได้ชัดเจนถึงศักยภาพที่เป็นจุดขายและการดูแลตนเองของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
“แม่สอดเป็นแนวคิดจะทำให้เป็นเมืองการค้าชายแดน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพราะมีศักยภาพด้านสภาพภูมิศาสตร์เป็นเมืองคู่แฝด เป็นประตูสู่ย่างกุ้งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนทีมีมูลค่าการค้าต่อปีสูง แม้แต่บัตรเติมเงินอย่างเดียวก็มีเงินสะพัดไม่น้อยกว่าปีละ 500 ล้านบาทอีกทั้งยังเป็นแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรมและงานฝีมือ มีแหล่งทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่มองให้เห็นถึงศักยภาพท้องถิ่นที่ชัดเจน”
ขณะที่ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ในบริบทถึงท้องถิ่นกับการจัดการความขัดแย้ง กรณีศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 7-8 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงมีระดับสูงขึ้น อัตลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ ปัญหาโครงสร้างอำนาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่มีพื้นที่แสดงออกทางการเมือง ภาคประชาสังคมเสนอ 6 ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี คือ
ทางเลือกที่1 การบริหารพิเศษผ่านศอ.บต.ภายใต้การรับผิดชอบของเลขาธิการที่มาจากการแต่งตั้ง โดยมีผู้ว่าฯที่มาจากการแต่งตั้งดูแลในรายจังหวัด มีอบจ. เทศบาล อบต.เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทางเลือกที่2 คือ “ทบวง” มีสถานะเทียบเท่ากระทรวงจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีรัฐมนตรีรับผิดชอบ มีผู้ว่าฯแต่ละจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งทำหน้าที่เป็นรองปลัดทบวง และมีอบจ.เทศบาล อบต.เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทางเลือกที่3 คือ “สามนคร1” ภายใต้การรับผิดชอบของผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้งเป็นรายจังหวัด โดยมีอบจ.เทศบาลและอบต.เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ทางเลือกที่4 คือ “สามนคร2” ภายใต้การรับผิดชอบของผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้งเป็นรายจังหวัด โดยยกเลิกเทศบาล อบจ.และอบต. แล้วปรับจังหวัดให้เป็นรูปแบบพิเศษคล้ายกรุงเทพมหานคร ขณะที่ ทางเลือกที่5 คือ “มหานคร1” ให้รวม 3 จังหวัดเข้าด้วยกันเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ มีผู้ว่าฯมาจากการเลือกตั้งรับผิดชอบ ลดขนาดอบจ.เทศบาลและอบต.ลง ส่วนทางเลือกที่ 6 คือ “มหานคร2” ให้รวม 3 จังหวัดเข้าด้วยกัน ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง 1 คนและยกเลิกอบจ. เทศบาล และอบต.
“เมื่อพูดถึงการปกครองตนเองทุกคนกลัวเรื่องการแบ่งแยกดินแดนแต่การทำจังหวัดปกครองตนเองเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี2550 มาตรา1,78,282-3 และมาตรา281ในรัฐธรรมนูญปี2540 ทั้ง 6 โมเดลได้ผ่านการทำวิจัยกับภาคประชาสังคมกว่า 20 กลุ่มในพื้นที่ที่หลายคนเห็นด้วยกับการตั้งมหานครปัตตานี แม้ว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีประชากรทั้งชาวไทยพุทธมุสลิมกว่า 2 ล้านคน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์คือสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องให้การยอมรับ ซึ่งจะเป็นทางออกของปัญหาโดยสันติวิธี” ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี กล่าว