“สยามประชาภิวัฒน์” แถลงคืนประชาธิปไตยแท้จริง ลดผูกขาดอำนาจในสังคม
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ออกแถลงการณ์ 5 ข้อ เทิดทูนสถาบันกษัตริย์-ปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม-ขจัดวิกฤติเสรีภาพ “บรรเจิด สิงคะเนติ” ย้ำจ่าย 7.7 ล้านเหยื่อการเมือง ผ่านแค่มติ ครม.ไม่พอ
วันที่ 13 มกราคม คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหลายสถาบัน แถลงข่าวเปิดตัว และนำเสนอแนวคิดในนาม “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ณ ห้องประชุม ชั้น 8 อาคารนราธิปพงศ์ประพันธ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้และขับเคลื่อน “การปฏิรูปประเทศไทย : การเมือง เศรษฐกิจและสังคม” และคำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางสังคมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชน ชุมชนและสังคม โดยมี รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายศาสตรา โตอ่อน มหาวิทยาลัยรังสิต นายคมสัน โพธิ์คง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และเหล่าคณาจารย์ในกลุ่มฯ ร่วมแถลง
1 ครอบครัว 3 นายกฯ ไทยไม่มีสูตรสำเร็จการเลือกตั้ง
รศ.ทวีศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีปรากฏการณ์การใช้มวลชนมาขับเคลื่อน เพื่อให้สามารถไปสู่ชัยชนะตามวัตถุประสงค์ได้ โดยไม่สนใจหลักนิติรัฐและกรอบของกฎหมาย หากไม่ย้อนกลับไปสู่นิติรัฐ สังคมจะยุ่งยากขึ้นจากการใช้มวลชนมาชนกัน ทั้งนี้ การเลือกตั้งก็มีระบบอุปถัมภ์มาบิดเบือน ซึ่งปัญหาสังคมและการเมืองการปกครองเช่นนี้ ทำให้ทางกลุ่มฯ รวมตัวกันโดยมั่นที่จะใช้ความรู้ที่เหมาะสมเผยแพร่ในสังคมไทย ให้มีความก้าวหน้าไปบนพื้นฐานความเข้มแข็งทางระบบวัฒนธรรม
“เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมาประเทศเรามี 1 ครอบครัวที่สามารถเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถึง 3 คน สะท้อนว่ารูปแบบการเลือกตั้งที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เราไม่ควรนำชุดความคิดสำเร็จรูปจากสังคมอื่นมาใช้ แต่ต้องช่วยกันออกแบบชุดความคิดที่ไม่ให้ระบบอุปถัมภ์เข้ามาบิดเบือนการเลือกตั้ง”
ในส่วนความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญ รศ.ทวีศักดิ์ กล่าวว่า จุดยืนของทางกลุ่มฯ ไม่ได้โต้แย้งว่าแก้ไม่ได้ แต่เห็นว่าการแก้ไขไม่ควรอยู่ในบรรยากาศของสังคมแบบนี้ ที่ข้อขัดแย้งต่างๆ ยังไม่เบาบางลง ฉะนั้น ในแง่กาลเทศะจึงไม่เห็นด้วยหากจะแก้รัฐธรรมนูญในขณะนี้
“การแก้รัฐธรรมนูญในขณะที่บรรยากาศของสังคมเป็นเช่นนี้ เป็นการแก้แบบเอาแพ้เอาชนะ แก้เพื่อให้ยึดกุมอำนาจได้ยาวนานที่สุด และเมื่อมีการเปลี่ยนขั้วการเมืองก็แก้กันใหม่อีก แตกต่างจากในช่วงปี 2540 ที่บรรยากาศการเมืองภาคประชาชนไม่ได้เป็นเช่นนี้ และประเด็นสำคัญ คือ การจะแก้รัฐธรรมนูญยังไม่มีการชี้ชัดว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาอย่างไรกับประชาชน มีปัญหาแต่กับผู้ที่จะแก้เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น ยิ่งแก้ก็จะยิ่งนำไปสู่นายทุนของนักการเมืองมากขึ้น” รศ.ทวีศักดิ์ กล่าว และว่า ผลจากการแก้รัฐธรรมนูญ จะทำให้การเข้าสู่ภาครัฐของนักการเมืองผ่านการเลือกตั้งทำได้สะดวกขึ้น เพราะไม่ต้องรับผิดชอบ ทั้งการจะแก้กฎหมายยุบพรรค หรือไม่เอาผิดคนที่ทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง ทั้งหมดนี้จะเข้าครอบงำกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มรูปแบบ
“ทุกวันนี้อำนาจ 3 ฝ่ายหลักในระบอบประชาธิปไตย คือ รัฐบาลกับรัฐสภาเป็นเนื้อเดียวแล้ว หากครอบอำนาจอีกฝ่ายไปได้สังคมจะผูกขาดเบ็ดเสร็จ”
ยุคเผด็จการพรรคการเมืองนายทุนใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย
ขณะที่รศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า ทางกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้จับตาดูสถานการณ์สังคมมายาวนาน และเห็นตรงกันว่าถึงเวลาที่ต้องดึงสังคมที่กำลังหลงผิดจากการถูกชี้นำทางความคิดกลับมา แม้เผด็จการทางทหารจะเคยเป็นปัญหาของสังคมไทยในอดีต แต่ทุกวันนี้ปัญหาหลักของสังคม คือ “เผด็จการทางพรรคการเมืองนายทุนที่มีเสื้อคลุมประชาธิปไตยปิดบังอำพรางอยู่”
ในส่วนการจ่ายเงินชดเชยเหยื่อเหตุชุมนุมทางการเมือง รศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะทำสิ่งใดเพื่อให้ประโยชน์แก่บุคคลใดนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องมีฐานรองรับ ลำพังแค่มติ ครม.อย่าเดียวไม่เพียง การกระทำของรัฐต้องอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันเสมอ อีกทั้งต้องเป็นหลักการบนพื้นฐานกฎหมายและต้องไม่เลือกปฏิบัติ
รศ.ดร.บรรเจิด กล่าวถึง กิจกรรมการขับเคลื่อนของทางกลุ่มฯ ต่อจากนี้จะเสนอองค์ความรู้และขับเคลื่อนทางวิชาการ โดยจะจัดงานทางวิชาการไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคด้วย จะพยายามเสนอองค์ความรู้ที่เป็นจริงของสังคมไทย แบบเกาอย่างถูกที่คัน ซึ่งหัวข้อแรกจะจัดที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในหัวข้อ “เผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน”
ด้านรศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการพยายามลดรูป เนื้อหาและหลักการของประชาธิปไตย ให้เหลือเพียง การเลือกตั้ง กล่าวคือ จะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงประชาธิปไตยอื่นๆ การเลือกตั้งมีทางเลือกหลายแบบที่สร้างโอกาสเข้าถึงอำนาจให้กับประชาชน ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยใช้เสียงส่วนใหญ่อย่างเดียว ซึ่งวิธีที่เป็นอยู่นี้กีดกันการเข้าถึงอำนาจของประชาชนอย่างเป็นระบบ ทั้งการเลือกตั้งแบบเขตพื้นที่ หรือสัดส่วน ต่างก็เป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนเข้ามาผูกขาด เห็นได้ชัดว่าการรวมกลุ่ม ส.ส. ล้วนอยู่แต่ในกลุ่มทุน ซึ่งไม่ใช่วิถีของประชาธิปไตย
“เมื่อการเลือกตั้งมาผสมกับระบบทุน ทำให้ไม่ใช่การเลือกตั้งที่ทำให้ประชาชนเลือกได้ตามเจตจำนงของตนเอง แต่อยู่ภายใต้การชี้นำและอามิสสินจ้าง อีกทั้ง เป็นการทำลายเนื้อหาหลักของการเลือกตั้ง เรียกได้ว่า การเลือกตั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีความหมายตามหลักประชาธิปไตย”
ส่วนนายคมสัน กล่าวถึงความพยายามในการแก้กฎหมาย โดยเฉพาะมาตรา 112 ว่า บทบัญญัติเดิมมีความเหมาะสมในเชิงหลักการ เพราะหากย้อนไปดูบทบัญญัติตั้งแต่ปี 2500 จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่บทบัญญัติที่ตั้งขึ้นมาใหม่แล้วสร้างปัญหา เฉกเช่น บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย ซึ่งหลักการเป็นการคุ้มครองสถานะของสถาบันประมุขของรัฐเป็นหลัก และเพื่อให้สังคมรับรู้และไม่ละเมิดจึงมีตางโทษไว้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีการล่วงละเมิดอย่างเป็นขบวนการ จะต้องมีการวางระดับโทษที่รุนแรงมากขึ้น
“เท่าที่ทางกลุ่มฯ เฝ้ามองพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นไปในลักษณะที่มีกระบวนการชัดเจนในการล้มล้างสถาบัน หากย้อนดูสถิติคดีที่เกิดขึ้นก่อนรัฐประหารปี 2549 มีคดีดังกล่าวนี้ไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นก็มีความพยายามของการเมืองบางกลุ่มใช้บทบัญญัตินี้พยายามสร้างเรื่องขึ้น กระทั่งมีความก้าวหน้าในการสร้างรัฐไทยใหม่ ทั้งที่จริงแล้วมาตรา 112 ไม่ใช่ปัญหาในการสร้างความก้าวหน้าให้ประเทศ แต่การเมืองบางกลุ่มก็พยายามดึงมาเป็นเป้า เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงบางประการ”
นายคมสัน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมานักวิชาการบางกลุ่มนำเสนอมุมมองเพียงส่วนเดียว และนำเสนอแบบนักปฏิวัติ ซึ่งทางกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้จับตาดูมาตลอด อันเป็นที่มาของการรวมตัวในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องและครบถ้วน ไม่อย่างนั้นสังคมจะไกลไปกว่านี้ แต่ยืนยันได้ว่าการรวมตัวในครั้งนี้ไม่เหมือนตอนรัฐประหาร
สำหรับประเด็นการจ่ายค่าชดเชยเหยื่อความรุนแรงทางการเมือง นายคมสัน กล่าวว่า เป็นการจ่ายที่ยังไม่มีการสอบสวนว่าละเมิดจริงหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าต่างฝ่ายก็ต่างละเมิดซึ่งกันและกัน จึงไม่ถือเป็นความเสียหายทางกฎหมายที่จะได้รับค่าชดเชย แตกต่างกับการจ่ายค่าเยียวยาน้ำท่วม 5,000 บาทที่มีฐานกฎหมายรับรอง ซึ่งประเด็นนี้หากปล่อยต่อไปจะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคม เพราะหากพูดถึงความเสมอภาครัฐต้องชดเชยให้กับคดีแพะรับบาป คดี 3 จังหวัดชายแดนใต้หรือกลุ่มฆ่าตัดตอนในปี 2548 ด้วย
“หนุนแก้ม.112” นักวิชาการ หรือนักปฏิวัติ?
ด้านนายศาสตรา กล่าวเพิ่มเติมถึงความพยายามในการแก้กฎหมาย มาตรา 112 ด้วยว่า เป็นการเริ่มต้นคิดที่เหมือนการติดกระดุมผิดเม็ด ทำให้ผิดตั้งแต่ต้น เนื่องจากนักวิชาการบางกลุ่มยกมาตรา 112 ไปเปรียบเทียบกับการละเมิดความผิดในระบบกษัตริย์ของยุโรป และเปรียบเทียบเป็นรายความผิดแล้วนำมาบ่งชี้ว่าควรมีการลดบทบาทลง ซึ่งการเปรียบเทียบในลักษณะนี้ใช้หลักการทางวิชาการที่ไม่ครบถ้วน และไม่เพียงพอ
“กฎหมายต่างประเทศก็มีความผิดที่เกี่ยวกับจิตใจของประชาชน รวมทั้งมีข้อห้าม ธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติ ที่ต้องคำนึงถึงความอ่อนไหวและประวัติศาสตร์ของประเทศเช่นกันตั้งว่า ดังนั้น การที่นักวิชาการบางกลุ่มออกมาให้ข้อมูลไปในทิศทางให้มีความพยายามแก้มาตรา 112 นั้นควรถามตนเองว่าเป็นนักกฎหมาย หรือพยายามทำตัวให้เป็นนักปฏิวัติวัฒนธรรมกันแน่ เพราะการพิจารณาประเด็นนี้ทางวิชาการต้องดูสังคมวิทยาและประเพณีด้วย ไม่ใช่สนับสนุนสังคมนิยมอย่างสุดขั้ว”
อ.ศาสตรา กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ในสังคมมีการใช้เสรีภาพกันอย่างฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่การใช้เสรีภาพต้องดูหลักการทางกฎหมายและความมั่นคง ปลอดภัยในสังคมถ่วงดุลกันไป นักวิชาการและนักปราศรัยต่างก็อ้างในเสรีภาพ โดยมองข้ามขอบเขต อีกทั้งยังมีการตัดตอนข้อมูลวิชาการ พูดไม่ครบระบบวิธีคิด ซึ่งนับเป็นเรื่องอันตรายสำหรับการเผยแพร่ความรู้ในลักษณะนี้
“อย่างในประเด็นที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จ่ายเงินชดเชยเหยื่อเหตุการณ์ชุมนุมทาง การเมืองศพละ 7.75 ล้านบาทนั้น ในทางกฎหมายต้องตรวจสอบก่อนว่า 1.พฤติกรรมดังกล่าวว่าอยู่ภายใต้สิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองหรือไม่ 2.พฤติกรรมดังกล่าวได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายคุ้มครองหรือไม่ และ 3.การกระทำของรัฐที่ละเมิดคือการกระทำใดและเป็นการกระทำที่ตามกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายมีข้อซักถามถึงการที่ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา ซึ่งเป็นกลุ่มเสื้อหลากสี ร่วมอยู่ในกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ด้วยนั้น มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงเพียงใด ซึ่งทางกลุ่มฯ ชี้แจงว่า เนื่องจากมีความเห็นตรงกันในเชิงวิชาการ มีหลักการความถูกต้องแท้จริงทางวิชาการเป็นตัวตั้ง ส่วนบทบาทอื่นๆ ของผู้เข้าร่วมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อหลากสี