วงเสวนาชี้ ฟ้องหมิ่น-พรบ.คอมพ์ฯ เครื่องมือปิดปากผู้ทำเพื่อ ปย.สาธารณะ
วงเสวนา กสทช. พับลิค ฟอรั่ม สื่อมวลชน-นักสิทธิมนุษยชน-นักวิจัยทีดีอาร์ไอ ชี้ การฟ้องหมิ่นประมาทต่อผู้ที่เปิดเผยข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ถือเป็นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ทำลายกระบวนการอันได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ซัด "พ.ร.บ. คอมพ์ฯ" ถูกนำมาใช้ไม่ตรงเจตนารมณ์ของกฎหมาย

เมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน 2557 ที่โรงแรมสุโกศล มีเวทีเสวนา NBTC Public forum หัวข้อ “ฟ้องหมิ่นประมาท เครื่องมือปิดกั้นการตรวจสอบ/การทำหน้าที่ !” จัดโดยนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. ผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้ถูก คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ยื่นฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท ร่วมกับ นางสาวณัฐฐา โกมลวาทิน , นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ถูกผู้แทนกรมทหารพรานที่ 41 แจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท กรณีเขียนจดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับการได้รับเรื่องร้องเรียนว่าอาจมีการซ้อมทรมาน ผู้ที่ถูกจับกุม , นายสุปัน รักเชื้อ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพสื่อ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย , นางสาวชุติมา สีดาเสถียร ผู้สื่อข่าวเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ภูเก็ตหวาน ผู้ถูกกองทัพเรือแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท กรณีเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์ และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน(iLaw) ดำเนินรายการโดย นางสาวณัฐฐา โกมลวาทิน
นายสุปันกล่าวว่าจากประสบการณ์การเป็นสื่อมวลชนที่ผ่านมา พบว่าการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท คือการปิดกั้น เสรีภาพ ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ข้อมูลของประชาชน ตามสิทธิ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร ขอฝากไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานธุรกิจด้วยว่า การฟ้องหมิ่นประมาทคือการปิดกั้นการตรวจสอบ และปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ทำลายกระบวนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงทางสังคม
ด้านนายยิ่งชีพ กล่าวถึงประเด็นที่ส่งผลกระทบกับเสรีภาพทางการแสดงออกว่า เนื่องจากปัจจุบันนี้ การฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทมีจำนวนมาก และการฟ้องร้องจำนวนหนึ่ง เป็นการฟ้องเพื่อรักษาหน้า คือถ้าหากไม่ฟ้อง ผู้ที่ถูกกล่าวหาจะรู้สึกเหมือนกับว่าเขายอมจำนน ดังนั้นจึงต้องฟ้อง ต้องไปดำเนินคดี ฟ้องเพื่อรักษาหน้า เพื่อแสดงออกว่าที่เขาถูกด่า เขาก็ตอบโต้ ไปแล้ว เป็นการฟ้องเพื่อแสดงว่าเขาตอบโต้ และฟ้องเพื่อหยุดกระบวนการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะ การต่อสู้ของ ภาคประชาชน เมื่อถูกฟ้องขึ้นมาคดีหนึ่ง ก็ย่อมทำให้เกิดความกลัว และทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนอ่อนแอ เช่น กรณีชาวบ้าน จังหวัดเลย ที่ ถูกบริษัททุ่งคำฟ้องก็ทำให้การเคลื่อนไหวของชาวบ้านลำบากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ถูกกล่าวหาควรต้องตอบโต้บนหลักการของการเปิดเผยข้อมูล มากกว่าจะไปตอบโต้ ด้วยการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท สิ่งที่ผมอยากเสนอคืออยากให้สู้กันด้วยเหตุผล เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องที่ฟ้องก็จะไม่ถูกนำเสนอบนที่สาธารณะ
นายยิ่งชีพกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรณีข้อหาหมิ่นประมาททั้งที่ผู้ถูกฟ้องทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตนเห็นว่าทั้งตำรวจและอัยการ ควรสั่งไม่ฟ้อง ศาลเมื่อไต่สวนมูลฟ้องแล้วก็สั่งไม่ฟ้อง เช่น กรณี นางสาวเดือนเด่น และนางสาวณัฐฐา แม้จะไต่สวนยาวนาน แต่ก็ยกฟ้องในที่สุด นอกจากนี้ ควรเขียนกฎหมายให้ชัดเจนว่า หน่วยงานของรัฐไม่ควรฟ้องหมิ่นประมาท ไม่ควรให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้เสียหายเองได้ และนอกจากการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทแล้ว การฟ้องร้อง ด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยเฉพาะ มาตรา 14 ( 1 ) ที่ระบุว่า "ผู้ใด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" ก็เป็นปัญหาเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบัน การฟ้องร้องในมาตรานี้ ถูกนำมาใช้อย่างไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
นายยิ่งชีพกล่าวว่า จากเดิมที่มาตรานี้ ตั้งใจจะอุดช่องว่างของการปลอมเอกสาร แต่ปัจจุบันถูกนำมาใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ นอกจากนี้ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ยอมความไม่ได้ เมื่อตำรวจ อัยการ ดำเนินคดีแล้วถอนฟ้องไม่ได้ คดีนั้นต้องดำเนินต่อ พ.ร.บ. คอมพ์ไม่มีข้อยกเว้น แม้จะเป็นการเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ สาธารณะก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมามีคดีความการฟ้องร้องที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์หลายคดี เช่น เว็บไซต์ไทยพลับบลิก้า ถูก บริษัทเครดดิตยูเนี่ยน คลองจั่นฟ้อง , สำนักข่าวอิศรา ถูกเลขาฯศาลปกครองฟ้อง , หม่อมหลวงกรณ์กสิวัฒน์ ถูก กระทรวงพลังงาน, มีกรณี บริษัทเอกชน แจ้งความดำเนินคดี กับ สสส. และผู้ผลิตคลิปเรื่องเกษตรพันธสัญญา
“ทุกเรื่องนี้เป็นมหากาพย์ที่ก็แสดงให้เห็นว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เมื่อถูกนำมาใช้กับกฎหมายหมิ่น ประมาท ก็ทำให้เกิดผลกระทบกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนยิ่งขึ้น ผมคิดว่านี่เป็นเทรนด์ ของ พ.ศ. นี้ ในการสร้างปัญหาให้เยอะขึ้น การนำเอา พ.ร.บ.ดังกล่าว มาใช้ในการฟ้องร้อง มันทำให้โทษสูงขึ้น สร้างความเสียหาย บ่อนทำลายได้มาก”
ขณะที่ นางสาวพรเพ็ญ กล่าวว่า เราทุกคนที่เผชิญการถูกฟ้องร้องในตอนนี้เหมือนอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง เราทำในสิ่งที่ใหญ่กว่าคดีของเราเอง หรือสิ่งที่ทำให้เกิดคดีความ เช่น นางสาวชุติมา จากภูเก็ตหวานพูดถึงขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งต่างชาติให้ความสนใจ ส่วนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายก็ทำงานเรื่องการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในความเป็นจริง เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะถ้าเป็นเรื่อง เล็กๆ เขาคงไม่มาลงทุนฟ้องร้อง เช่น กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน รัฐต้องสืบสวนข้อเท็จจริง รัฐไม่มีหน้าตาที่ต้องเสื่อมเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่รัฐนำเอาความเห็นส่วนตัว แล้วนำเอาองค์กรที่ใหญ่มาก มาฟ้องนักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน เมื่อทำเช่นนี้แล้ว รัฐจะไปพูดบนเวทีต่างประเทศว่าอย่างไร ถ้ารัฐอ้างว่า ตัวเองมีศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีนั้นย่อมไม่ใช่การมาฟ้องร้องสื่อ นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการ จึงอยากจะให้ทบทวนว่าบทบาทแบบไหน ที่จะทำให้รัฐสามารถฟื้นคืนชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมา
ด้าน ดร.เดือนเด่น กล่าวว่าหากมองในแง่ของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ประเด็นที่สำคัญที่สุด หน่วยงานของผู้ที่ถูกฟ้อง สังกัดอยู่ ควรต้องให้การสนับสนุน ทั้งที่ตนเป็นนักวิชาการคนแรกของประวัติศาสตร์ทีดีอาร์ไอ ที่ถูกฟ้อง แต่ก็ขอบคุณที่ทางทีดีอาร์ไอก็ให้การสนับสนุนได้เต็มที่ การสนับสนุนของหน่วยงานจึงสำคัญ ไม่แพ้การสนับสนุนของสังคม
“เพราะแม้ดิฉันเป็นจำเลยทางกฎหมาย แต่ดิฉันไม่ใช่จำเลยทางสังคมเพราะไม่มีใครรู้สึกว่า ดิฉันทำไม่ถูก ” ดร.เดือนเด่นระบุ และกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า กรณีผู้ถูกฟ้องไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในข่าว แต่เป็นประชาชน ทั่วไป ที่ไม่ได้มีเกราะของการเป็นบุคคลสาธารณะที่นักข่าวรู้จัก สังคมก็ควรต้องปกป้องเขา อาจจะต้องมานั่งคิดกันว่าจะมีกลไกอย่างไรที่สังคมจะปกป้องคนเหล่านั้น เช่นอาจมีสมาคม ผู้ถูกฟ้องหมิ่นประมาททั้งที่เปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ มารวมตัวกันมากขึ้น เพื่อให้เขาได้รับการปกป้อง ดร.เดือนเด่นระบุ
ด้านนายประวิทย์ และนางสาวสุภิญญา เห็นสอดคล้องกัน ว่าจากนี้ ควรจะมีการหารือ และรวมเครือข่าย ประชาชน ภาคประชาสังคม สื่อ และผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ หรือมุ่งทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะแต่กลับถูกฟ้องหมิ่นประมาท คงจะมีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนความหวั่นไหวให้กลายเป็นพลัง
“ เพราะเมื่อสิ่งที่เรานำเสนอ กลายเป็นเรื่องขึ้นมา นั่นหมายความว่าเราแตะถูกเรื่อง” นายประวิทย์ ระบุ และกล่าวย้ำว่า ผู้ที่มุ่งทำเพื่อประโยชน์ เปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะแล้วกลับถูกฟ้องหมิ่นประมาท อย่าเสียกำลังใจ แต่ขอให้ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเมื่อสังคมได้เห็นความจริง สังคมก็จะอยู่เคียงข้าง และผู้ที่มาฟ้องร้องนั่นเอง ที่จะต้องตกเป็นจำเลยของสังคม
บรรยายภาพ จากซ้าย : ดร.เดือนเด่น,นพ.ประวิทย์ และนางสาวสุภิญญา
