“เสี่ยเปี๊ยก” โต้ข้อมูล “หมอวรงค์” โวยถูกแทงข้างหลัง - เตรียมอำลาวงการข้าว
ฟังความอีกด้าน!! “เสี่ยเปี๊ยก” เผยเหตุนำข้าวรัฐไปขายต่อราคาแพง เพราะโรงสีคู่กรณีอยากได้สินค้าคืน เพื่อนำไปปกปิดความผิด “สต๊อกลม” โวยถูกแทงหลัง - ส่วนปมไซโล เคทีบี ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือสยามอินดิก้า แค่เช่าต่อจากธนาคารกรุงไทย ยันไร้สัมพันธ์พิเศษเสี่ยเปี๋ยง –หมอวรงค์ ย้ำข้อมูลจริง ท้าให้พิสูจน์ความจริง
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 นายเอนก ฉัตรไชยศิริ หรือ เสี่ยเปี๊ยก หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)โรงสีโชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีที่ถูกนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เสี่ยเปี๋ยง ทำให้สามารถซื้อขายจากรัฐบาลในราคาต่ำ เพื่อนำไปขายต่อในราคาที่สูง ว่า ตนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง ที่นายแพทย์วรงค์ ระบุว่าเป็นผู้มีอำนาจในวงการการค้าข้าว
“ผมรู้จักกับผู้ส่งออกข้าวทุกคน เราทำธุรกิจค้าข้าวเราก็ต้องรู้จักคนในวงการเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยืนยันว่าไม่ได้ความใกล้ชิดหรือมีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกับเสี่ยเปี๋ยง ”
ส่วนกรณีที่ปรากฏข้อมูลว่า หจก.โรงสีโชควรลักษณ์ฯ รับซื้อข้าวในราคาตันละ 5,700 บาท และนำไปขายต่อในราคาตันละ 12,000 บาท ทำให้มีกำไรตันละ 6,300 บาท นั้น นายเอนก กล่าวชี้แจงว่า ตนเป็นพ่อค้าข้าวคนหนึ่ง ที่เข้าไปร่วมประมูลซื้อข้าวกับรัฐบาล ทางไหนที่ทำกำไรได้เราก็ทำ แต่ข้าวกอง ที่นายแพทย์วรงค์ นำข้อมูลมาเปิดเผย เป็นข้าวเก่า ปี 2549-50 ที่มีสภาพไม่ดี
“ ผมซื้อข้าวมาได้ในราคาต่ำเพราะเป็นข้าวกองนี้ มีสภาพไม่ดี แต่ที่สำคัญที่สุดมันเป็นข้าวลม ไม่มีอยู่จริง เพราะโรงสีที่เก็บข้าวกองนี้ไว้ เอาข้าวเวียนออกไปขายก่อนแล้ว เมื่อผมประมูลมาได้ เขากลัวคดีความ ก็เลยมาขอซื้อข้าวคืน และให้เราสูงตันละ 12,000 บาท แต่ไม่คิดว่าเขาจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นอีกแบบหนึ่ง ทำให้ผมเสียหาย เหมือนมาแทงข้างหลังกัน ”
นายเอนก กล่าวต่อไปว่า ต่อมาภายหลังจากที่มีปัญหาเกิดขึ้น ตนได้ยกเลิกการซื้อข้าวกองนี้ไปแล้ว หากสื่อมวลชนไม่เชื่อขอให้ไปสอบถามข้อมูลจาก อคส.ได้ มีบันทึกไว้หมดเลยว่า ข้าวกองไหนมีปัญหา กองไหนเป็นลมบ้าง
ส่วนกรณีที่ปรากฏชื่อของตน ในเอกสารให้เช่าไซโล กับ อคส. และมีการระบุข้อมูลว่า ไซโล นี่เป็นของ บริษัทเคทีบี ไซโล ของเสี่ยเปี๋ยง นั้น นายเอนก ยืนยันว่า “ผมไปเช่าโกดัง นี้ มาจากธนาคารกรุงไทย เพราะเจ้าของเดิมมีหนี้สินอยู่ เช่ามาเกือบปีแล้ว แต่จำไม่ได้ว่า ทำสัญญาเช่าเท่าไร ต้องกลับไปดูเอกสารอีกที”
“ภาพไซโลที่หมอวรงค์เอามาเปิด มันเป็นคนละที่กัน มันเป็นไซโลร้าง ถ้าอยากรู้ข้อมูลจริงขึ้นมาดูเองเลยดีกว่า ผมก็ทำธุรกิจของผม ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ไปเช็คประวัติผมดูได้ว่าเป็นอย่างไร”
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป นายเอนก ตอบว่า "คงจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว เพราะทำธุรกิจอยู่ดีๆ ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอปัญหาอะไรแบบนี้ กลายเป็นแพะ เป็นจำเลยของสังคม ตอนนี้มีความคิดจะปิดกิจการแล้ว ไม่ทำต่อแล้ว ถอนตัวอำลาวงการข้าวไปเลยดีกว่า”
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่า ตนเชื่อมั่นในข้อมูลที่ตรวจสอบมาได้ เพราะมีการยืนยันจาก โรงสีเป็น 10 แห่ง ว่า เสี่ยเปี๊ยก คือ มือขวาในวงการค้าข้าวของ เสี่ยเปี๋ยง
“ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ราคาข้าวเก่า ไม่ว่าจะเสื่อมสภาพขนาดไหน ก็ขายอยู่ที่ตันละ 8,000 –9,000 บาท การขายในราคาตันละ 5,700 บาท เป็นราคาที่ต่ำเกินไป ส่วนที่อ้างว่า ขายข้าวให้โรงสีไปในราคาสูง เพราะโรงสีต้องการจะนำไปปกปิดหลักฐานเรื่องสต็อกลม ถ้ามั่นใจในข้อมูลก็ควรจะต้องรีบชี้แจง และต่อสู้ ไม่ใช่คิดที่จะปิดกิจการหนีแบบนี้”
นายแพทย์วรงค์ ยังกล่าวถึงเรื่องการเช่าไซโล บริษัท เคทีบี ว่า จากการสอบถามข้อมูลกับนายธนาคารหลายคน ได้รับการยืนยันว่า ต่อให้บริษัทเคทีบี เป็นหนี้สถานบันเงินกู้อยู่เท่าไร กรรมสิทธิ์ของไซโล ก็ยังเป็นของบริษัทเคทีบีอยู่ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าแท้จริงแล้วบริษัทแห่งนี้เป็นของใคร
“คุณจะมาบอกว่า ไปเช่าจากธนาคารกรุงไทย แล้วบริษัทเคทีบีไม่รู้เรื่องด้วยมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเสี่ยเปี๊ยกไม่ได้มีความสนิทสนมกับ เสี่ยเปี๋ยง เขาจะยอมให้ไปเช่าโกดังรับฝากข้าวจำนวนมากแบบนี้หรือ” นายแพทย์วรงค์ระบุ