“ทักษิณ" ยันใช้หนี้เงินกู้ 2 ล้านล้าน หมดก่อน 50 ปี ดูตัวอย่าง IMF
ทักษิณ หนุนกู้เงิน 2 ล้านล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยเศรษฐกิจโตขึ้นทั้งทางตรง-อ้อม ยันใช้หนี้หมดก่อน 50 ปีแน่ ดูตัวอย่าง IMF ย้ำคนสร้างเศรษฐกิจเป็น มองต่างคนที่รู้จักแต่ใช้จ่ายเงินอย่างเดียว

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว "Thaksin Shinawatra" ยืนยันแนวคิดการกู้เงิน 2 ล้านล้าน ของรัฐบาล เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คือการลงทุนให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งนี้ พ.ต.ทักษิณ ระบุว่า ทางตรงคือเงินที่ลงทุนและไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทางอ้อมคือโครงสร้างพื้นฐานนั้นไปลดค่าใช้จ่ายทางการขนส่ง ลดการใช้พลังงาน ลดความสึกหรอของถนนที่มีอยู่เดิม ไปเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านความสะดวกในการสัญจร การเกิดกิจกรรมการค้าการขายมากขึ้น ที่ดินราคาดีขึ้นตามความเจริญที่เข้าถึง ความเชื่อมั่นที่ต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุน การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกับค่าเครื่องจักร ค่าก่อสร้าง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุด้วยว่า ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าหนี้จะพุ่งข้างเดียวเพราะรายได้ก็พุ่งด้วย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงจะไม่สูงอย่างที่วิตก และก็ไม่ต้องรอว่าจะต้องใช้หนี้อีก 50 ปีจะหมด ดูตัวอย่างหนี้ IMF ที่เราใช้ได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้อยู่ที่ ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว วิธีมองจึงต่างกันไป
อดีตนายกฯ ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า “ตอนสมัยผมทำธุรกิจ เวลาจะกู้หนี้ยืมสิน เขาจะดูสัดส่วนของหนี้ต่อทุนเพื่อรักษาไว้ไม่ให้เกิน 2 หรือมากสุด 2.5 เท่าต่อ 1 เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะแข็งแรง ส่วนเศรษฐกิจประเทศนั้นเขาจะรักษาสัดส่วนของหนี้ต่อ GDP ของประเทศไม่ให้เกิน 50% ถือว่าดีเยี่ยม ไม่เกิน 60% ถือว่ายังดีอยู่ แต่ประเทศที่มีฐานรายได้ทางภาษีใหญ่ๆเขายอมให้สูงกว่านี้ เช่น ญี่ปุ่น มีหนี้เกือบ 200% ต่อ GDP แต่ตัวเลขของสัดส่วนย่อมเปลี่ยนไปถ้า GDP หรือเศรษฐกิจประเทศโตขึ้น เหมือนบริษัท ถ้าบริษัทมีรายได้มากขึ้น มีกำไรสะสมมากขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อทุน(ส่วนของผู้ถือหุ้น) ก็จะลดลง เพราะมีกำไรสะสมมาเพิ่มเช่นกันครับ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวที่ใช้ชื่อ ว่า “Korbsak sabhavasu” ตั้งข้อสังเกตการใช้จ่ายเงินกู้จำนวน 2 ล้านล้านบาท ของ รัฐบาล ว่า อาจจะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ตกหล่นจากการลงทุนทำโครงการต่างๆ หรือที่เรียกว่า “เงินทอน” ผ่านค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาโครงการ และค่ารับเหมาก่อสร้าง ซึ่งตั้งไว้สูงถึง 44,983 ล้านบาท
สาเหตุจากการใช้วิทยายุทธในการบริหารโครงการแบบเหนือเมฆ โดยใช้ระเบียบการว่าจ้างที่ไม่ต้องมีการประกวดราคา ใช้วิธีประกวดแบบ ประกวดความสามารถทางเทคนิค ( Technical proposal ) รัฐบาลจะเปิดซองราคา ( Price proposal ) เฉพาะของบริษัทที่ชนะการประกวดแบบเท่านั้น กรรมการที่รัฐบาลตั้งจะเป็นผู้พิจารณาข้อเสนอและให้คะแนน ดําเนินการ เป็นการภายใน ไม่เปิดเผย
-------
อ่านประกอบ
- “กอร์ปศักดิ์” ชำแหละเงินกู้ 2 ล้านล้าน เตือนระวัง “เงินทอน” ไหลผ่านค่าที่ปรึกษา
