เรือดํานํ้าสําหรับประเทศไทย
โครงการจัดหาอาวุธของกองทัพ เป็นงานทางด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติเป็นหลัก ไม่เกี่ยวข้องกับฉันทามติของคนหมู่มากในสังคม และสื่อที่ไม่มีความรู้สร้างความสับสนเข้าใจผิดกับคนในวงกว้าง
ผู้สื่อข่าวสํานักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ขณะนี้กองทัพเรืออยู่ระหว่างดําเนินโครงการประกวดราคาจัดซื้อเรือดํานํ้า ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ซึ่งเป็นเรือดีเซล-ไฟฟ้า แบบ S26T จํานวน 1 ลํา พร้อมระบบอาวุธ และส่วนสนับสนุน อะไหล่ และสิ่ง อุปกรณ์ประจําเรือเอกสาร การทดสอบทดลอง นํ้ามันเชื่อเพลิง นํ้ามันหล่อลื่น การฝึกอบรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจรับการส่งมอบ และพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งการบริการที่เกี่ยวข้องโดยเป็นราคายกเว้นค่าอากรทางศุลกากร แต่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีอากรอื่นๆ ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งปวงไว้แล้วคิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 13,500,000,000 บาท
ก่อนหน้านี้กองทัพเรือได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาการจัดซื้อเรือดํานํ้าดังกล่าว โดยให้อู่ต่อเรือดํานํ้าจากประเทศต่างๆ จึงเห็นว่าว่า เรือดํานํ้าของจีน มี ความเหมาะสม และให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด ขณะที่แหล่งเงินที่นํามาใช้ในการจัดซื้อเรือดํานํ้า ก็จะมาจากกองทัพเรือไม่พึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลส่วนเหตุผลการจัดซื้อก็เพื่อให้ประเทศไทยมีเรือดํานํ้าที่ทันสมัยทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทย สร้างหลักประกันความมั่งคงของประเทศชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยบริษัท CHINA SHIPBUILDING & OFFSHORE INTERNATIONAL CO., LTD. (CSOC) จากประเทศจีนได้เสนอโครงการเรือดํานํ้า S26T โดยมีรายการที่ทางบริษัท 2 “จะส่งมอบให้กองทัพเรือ” (Scope of supply) ภายใต้กรอบวงเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท (รวมภาษี) 2 ประกอบด้วย
- เรือดํานํ้า 3 ลํา
- การฝึก
- การสนับสนุน ซึ่งประกอบด้วย อุปกรณ์ท่าเรือ เครื่องมือพิเศษ( ไม่รวมถึงการปรับปรุงอู่ซ่อม)
- ลูกตอร์ปิโดลูกจริง4 ลูก ลูกฝึก 2 ลูก
- การสนับสนุนหลังการขาย เช่น การแลกเปลี่ยนการฝึก การฝึกร่วม การสนับสนุนการช่วยเหลือกู้ภัย การสนับสนุนการซ่อมบํารุงและการใช้งาน
โดยกองทัพเรือมองว่าเทคโนโลยีจีนเหนือกว่าเทคโนโลยีจากประเทศที่เคยสร้างและมีประสบการณ์ในการใช้เรือดํานํ้ามาเป็นเวลานานไม่ว่าจะเป็น เยอรมนี สวีเดน ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งรัสเซีย ซึ่งเป็นต้นแบบที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีเรือดํานํ้าให้จีนผ่านเรือดํานํ้าชั้น Romeo และ Kilo ก็กลับพ่ายแพ้ในการแข่งขันคัดเลือกแบบในครั้งนี้ด้วย ทั้งที่ทุกประเทศก็ได้จัดทําราคาภายใต้เงื่อนไขที่กองทัพเรือประกาศ โดยนําเสนอเรือดํานํ้าจํานวน 2 ลํา พร้อมอาวุธและระบบสนับสนุนต่างๆ รวมทั้งการฝึก ในวงเงิน 36,000 ล้านบาท ยกเว้นประเทศจีนที่ในวันยื่น ข้อเสนอโครงการก็ได้สร้าง “ความประหลาดใจ” ด้วยการแถมเรือดํานํ้ามาอีก 1 ลํา รวมเป็น 3 ลํา
เหตุผลของการมีเรือดํานํ้า ถ้าประมวลเหตุผลของการมีเรือดํานํ้าจะมีอยู่ 2 ประการดังนี้
(1) เรือดํานํ้าสามารถปฏิบัติการในอ่าวไทยได้ ข้อสงสัยว่าเรือดํานํ้าสามารถปฏิบัติการในอ่าวไทยได้หรือไม่
น่าจะไม่เป็นข้อโต้แย้งอีกแล้ว เพราะตัวอย่างในประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณทะเลบอลติค (ที่มีความลึกของนํ้าประมาณ 50 เมตรใกล้เคียงกับอ่าวไทย) ก็เป็นสมรภูมิของการรบทางเรือที่ สําคัญ (ค.ศ.1939-1945) เพราะเป็นช่องทางออกไปสู่ทะเลเหนือ โดยชาติที่มีส่วนร่วม คือ เยอรมัน (อักษะ) กับ พันธมิตร (โซเวียตฯ ฟินแลนด์ และโปแลนด)์ มีเรือดํานํ้าขนาดเล็ก (500-800 ตัน) ร่วมปฏิบัติการ (โซเวียตฯมีเรือดํานํ้า 65 ลํา ชาติอื่นมีชาติละ 5 ลํา) โดยภารกิจของเรือดํานํ้าคือ การโจมตีเรือลําเลียงข้าศึก และในอ่าวไทยเองก็เคยโดนเรือดํานํ้าเข้ามาจมเรือลําเลียงถึงบริเวณ เกาะสมุย
(2) ความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจ และความคุ้มค่าทางด้านความมั่นคง (ข้อมูลจาก วารสารนาวิกศาสตร์ กองทัพเรือ) ความคุ้มค่าของโครงการจัดหาเรือดํานํ้าของกองทัพเรือ เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติทางทะเลหลัก และความมั่นคงของชาติจะ
ทําให้เกิดความเจริญมั่นคงของชาติในด้านอื่นๆ ทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในองค์รวมการคานดุลอํานาจ( Arm Racing) ใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรือดํานํ้ามีบทบาทสูงขึ้น แต่ประเทศไทย ซึ่งมีอาณาเขตทางทะเลมากกว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของอาณาเขตประเทศ แต่มีเพียงเครื่องบินรบและเรือผิวนํ้าในการป้องกันอธิปไตยของชาติ และการลาดตระเวนคุ้มกันผลประโยชน์ทางทะเล ทั้งที่มีบทเรียนจากการสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าพื้นที่ใต้นํ้าของไทยถูกรุกรานจากสงครามใต้นํ้าจากเรือดํานํ้าหลายครั้ง
โดยหลักการแล้วโครงการจัดหาอาวุธของกองทัพ เป็นงานทางด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักนิยมในการจัดกําลังรบ และการวางยุทธศาสตร์ของชาติเป็นหลัก ไม่เกี่ยวข้องกับฉันทามติของคนหมู่มากในสังคมหรือประชานิยม เหมือนโครงการด้าน การเมืองอื่นๆ
ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในการจัดหาเรือดํานํ้าของไทยแบ่งได้ 2 ประเด็น คือ
1. เรือดํานํ้ามีบทบาทสําคัญในการการคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ และ
2. เรือดํานํ้ามีบทบาทสําคัญในการคุ้มครองเส้นทางการเดินเรือทางทะเลสําคัญของชาติ หากเกิดกรณีพิพาทอาณาเขตทางทะเล หรือสงครามที่ไม่คาดหมาย (unexpected war) ขึ้น ชาติที่มีเรือดํานํ้าย่อมได้เปรียบ เนื่องจากสามารถทําการสงครามใต้นํ้า (undersea warfare) ได้มีประสิทธิภาพกว่า
ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มพัฒนากองทัพในลักษณะแข่งขันมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เรือดํานํ้ามาเลเซียมีศักยภาพในการ ขัดขวางเส้นทางเดินเรือของไทยสู่อ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมถึงสามารถแทรกซึมทางทะเลและลิดรอนกําลังทางเรือของไทย ประเทศ เวียดนามมีเรือดํานํ้าที่อาจขัดขวางเส้นทางคมนาคมทางทะเลที่จะเข้าสู่อ่าวไทย และการเดินทางของไทยออกสู่ทะเลจีนใต้
น่านนํ้าไทยฝั่งอันดามัน มีการลักลอบค้าอาวุธและนําอาวุธทําลายล้างสูงเข้ามาในประเทศ ทางเรือประมง จากประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง อาวุธบางส่วนถูกนํามาใช้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
นอกจากนี้ คนไทยโดยทั่วไปยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามใต้นํ้า และบทบาทความสําคัญของเรือดํานํ้าในการปกป้องอธิปไตยของชาติ (ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าด้วยความเสรีของสื่อ ผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องเรือดํานํ้าสามารถออกมาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรือดํา นํ้าอย่างแพร่หลาย สร้างความสับสนเข้าใจผิด กับคนในวงกว้างที่ยังไม่มีความเข้าใจในเรือดํานํ้าดีพอ แต่เสียงของผู้มีประสบการณ์ตรงที่ทํางาน ทางด้านสงครามใต้นํ้า หรือปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเรือดํานํ้าในน่านนํ้าไทย กลับอ่อนกว่า)
สรุปได้ว่าการซื้อเรือดํานํ้าแม้จะราคาสูงเท่าใดก็ตามมีความคุ้มค่าเพราะเรือดํานํ้ามีบทบาทสําคัญในการการคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ และมีบทบาทสําคัญในการคุ้มครองเส้นทางการเดินเรือทางทะเลสําคัญของชาติ เรือดํานํ้าสามารถป้องกันการลักลอบค้าอาวุธและ นําอาวุธทําลายล้างสูงเข้ามาในประเทศทางเรือประมงได้ ที่สําคัญคือ โครงการจัดหาอาวุธของกองทัพ เป็นงานทางด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติเป็นหลัก ไม่เกี่ยวข้องกับฉันทามติของคนหมู่มากในสังคม และสื่อที่ไม่มีความรู้สร้างความสับสนเข้าใจผิดกับคนในวงกว้าง
เหตุผลที่ (ยัง) ไม่ควรซื้อเรือดํานํ้า
ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจว่าเหตุผลนี้พิจารณาจาก สภาวะของเศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปัจจุบันและคาดว่าจะเป็นในอนาคต
(1) เหตุผลที่ต้องเสนอข้อคิดเห็น
ถ้าจะกล่าวว่าทุกคนในประเทศไทยไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในเรือดํานํ้าก็น่าจะถูกต้อง (ทหารเรือบางคนอาจเคยฝึกในเรือดํานํ้าของต่างชาติมาบ้าง แต่ไม่เคยปฏิบัติงานจริง) หรือแม้จะพูดว่าทหารเรือไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องเรือดํานํ้าก็น่าจะถูกต้อง แต่ก็มีคนไทย จํานวนมากรวมทั้งทหารเรือที่ค้นคว้า ศึกษาเรื่องเรือดํานํ้าและมีความรู้เรื่องสงครามใต้นํ้ามากเพียงพอที่จะเสนอข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์ในแง่มุม ต่างๆกัน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่ทุกฝ่ายจะต้องนําไปพิจารณา
ถ้ามองความมั่นคงของชาติทางทหารเฉพาะมิติของผู้มีส่วนร่วมอาจแยกออกเป็น 3 องค์ประกอบคือ รัฐบาล ทหาร และประชาชน องค์ประกอบทั้งสามต้องสอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ประชาชนอาจมีความคิดหลากหลาย อาจมีความคิดที่กระเจิดกระเจิงตาม อารมณ์และแรงกระตุ้นจากสภาวะแวดล้อมโดยอาจไม่มีเหตุผล ทหารจะต้องมีความเชี่ยวชาญในงานของตนคือการป้องกันประเทศซึ่งต้อง รวมถึงการจัดหาอาวุธที่เหมาะสมและการใช้อาวุธอย่างมีประสิทธิภาพด้วย รัฐบาลต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลมากที่สุดและต้องสร้างสมดุลและความ ร่วมมือระหว่างองค์ประกอบทั้งสามโดยมุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของชาติทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศและการทหาร
ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลมีเหตุผลดีเพียงใด ทหารจะเชี่ยวชาญเพียงใด ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยมิติด้านความมั่นคงก็จะสั่นคลอน แต่ปัจจัยที่รัฐบาลส่วนใหญ่มักจะ ล้มเหลวในมิตินี้เกิดจากการไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนเพราะความสับสนระหว่างผลประโยชน์ของชาติ ( National Interest) กับผลประโยชน์ส่วนตัว (Self Interest) และสุดท้ายเป็นกฎธรรมชาติเมื่อความขัดแย้งขององค์ประกอบทั้ง 3 ถึงที่สุดองค์ประกอบเดียวที่จะยังคงอยู่ คือประชาชน รัฐบาลก็ต้องหมดอํานาจ มีรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ทหารก็ต้องสับเปลี่ยนหน้าที่ไปตามสภาวะ ความเห็นของประชาชนจึงสําคัญที่ทั้งรัฐบาลและทหารต้องรับฟังเพื่อสร้างสมดุลขององค์ประกอบทั้งสา ม
(2) ความคุ้มค่าด้านเศรษฐกิจ
ความคุ้มค่าในเชิงตัวเลขที่มักอ้างว่า “ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยมีไม่ตํ่ากว่า 17.9 ล้านล้านบาทต่อปี” (แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล พ.ศ. 2558-2564, สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาต)ิ จึงมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่จะลงทุนซื้อเรือดํานํ้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ มหาศาลนี้ แต่การลงทุนซื้ออาวุธต้องพิจารณาให้รอบคอบกว่านั้นเพราะประโยคต่อมาของ สมช. คือ “ ทั้งนี้ในจํานวนดังกล่าว มูลค่าที่ตกอยู่ใน มือคนไทยมีไม่ถึงร้อยละ 30” แสดงว่าเราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะลงทุนสูงๆได้ อย่างไรก็ตามตัวเลข ทั้งสอง นี้แสดงให้เห็นว่าเราจําเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์นี้แต่ต้องรอบคอบในการลงทุน
ข้อมูลทั่วๆไปในการจัดสรรงบประมาณด้านความมั่นคงที่แม้จะไม่เป็นทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์ที่แน่นอน แต่ปฏิบัติโดยทั่วไปคือ งบประมาณป้องกันประเทศจะอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล (ประเทศที่มีงบประมาณรายจ่ายสูงอาจตํ่ากว่านี้ เพราะตัวเงินสูงเพียงพอแล้ว) ประเทศไทยก็ใช้แนวทางใกล้เคียงกันดังนั้น กองทัพเรือจึงได้รับงบประมาณที่หลังจากจัดสรรร่วมกับเหล่าทัพอื่น แล้วอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป ดังนั้นสิ่งที่กองทัพเรือต้องคิดคือจะหาวิธีปกป้องผลประโยชน์นี้อย่างไรในวงเงินที่ได้รับ เรือดํานํ้าเป็นเพียง ทางเลือกหนึ่งของเครื่องมือที่จะนํามาใช้เท่านั้น และคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าคุ้มค่าหรือไม่ และนักวิชาการด้านเรือดํานํ้าต้องไม่ลืมว่า งบประมาณที่ได้รับต้องใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆด้วย และในปีนี้จะเหลือเงินสําหรับเริ่มโครงการเรือดํานํ้าเพียง7 00 ล้านบาทเท่านั้น (ราคาของ โครงการเรือดํานํ้าจีน 3 ลํา กับตอร์ปิโด 4 ลูก 36,000 ล้านบาท) และต้องคิดไปในอนาคตด้วยว่าต้องผ่อนส่งต่ออีกกี่ปี และระหว่างเวลานี้เราจะ อยู่อย่างไร เราจะทําอะไรได้กับตอร์ปิโด 4 ลูก พร้อมกับต้องซ่อมบํารุงเรือที่ซื้อมาด้วย พอครบ 10 ปี ผ่อนหมดก็ถึงเวลาซ่อมใหญ่เปลี่ยน แบตเตอรี่ ต้องใช้เงินอีกมหาศาล
การใช้เงินถึงประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3 หมื่นหกพันล้านบาทเมื่อ 1 เหรียญเท่ากับ 36 บาท) เพื่อจัดหาเรือดํานํ้า 2 หรือ 3 ลํา เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจมีผลให้เศรษฐกิจของชาติสะดุดหรือชะงักได้ เพราะจะต้องจ่ายเงินออกนอกประเทศถึงประมาณ 1.33 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล (งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลปี 2560 เท่ากับ 2.733 ล้านๆบาท หรือเทียบกับต้องขายข้าวเปลือกประมาณ 6 ล้านตัน (ถ้าข้าวเปลือกราคาตันละ 6 พันบาท) ในแง่ของเศรษฐกิจเป็นการสูญเสียแน่นอน เพราะเงิน 36,000 ล้านบาท สามารถหมุนเวียนใน ประเทศได้ถึง 360,000 ล้านบาท (10 รอบ) และสร้างงานได้อีกมหาศาล ความคุ้มค่าจึงมองเฉพาะมิติของความต้องการในการใช้งานด้านเดียวไม่ได้ ต้องมองให้รอบคอบถึงสถานะด้านเศรษฐกิจของตนเอง และสภาวะแวดล้อมด้วย ถ้ามีแล้วเงินหมดหรือไม่มีโอกาสใช้ย่อมไม่คุ้มค่า
(3) ความคุ้มค่าด้านการทหาร
การปฏิบัติการทางเรือต้องมีขีดความสามารถในการยุทธ์ทุกสาขาทั้งต่อต้านเรือผิวนํ้า ต่อสู้อากาศยาน ต่อต้านทุ่นระเบิด ส่งกําลังขึ้นฝั่งยกพลขึ้นบก ลําเลียงและคุ้มกันการลําเลียง ส่งกําลังในทะเลลาดตระเวนระดมยิงฝั่ง ปราบเรือดํานํ้า การปฏิบัติการทางอากาศ การขัดขวาง การใช้ทะเลของข้าศึก การควบคุมทะเล และ ฯลฯ รวมทั้งภารกิจในยามสงบเช่นการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสพภัย และเมื่อพิจารณาเครื่องมือ หรือกําลังรบที่จําเป็นในการปฏิบัติภารกิจเหล่านี้จะเห็นว่าแม้ไม่มีเครื่องบินและเรือดํานํ้า เรือผิวนํ้าก็ยังสามารถปฏิบัติภารกิจได้ครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีเรือผิวนํ้าเราแทบจะทําภารกิจใดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามถ้ามีครบทุกอย่างย่อมดีกว่าแน่นอน การพิจารณาความคุ้มค่าจึงจําเป็น
แม้เรือดํานํ้าจะสามารถปฏิบัติการในอ่าวไทยได้เช่นเดียวกับในทะเลบอลติคในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยุทธการทางเรือในสมรภูมิทะเลบอลติคมีทั้ง การลําเลียงทางทะเล การคุ้มกันกระบวนเรือ การปฏิบัติการทางอากาศ สงครามทุ่นระเบิด (วางและกวาดทุ่นระเบิด) การส่งกําลังขึ้นฝัง และการสนับสนุนกําลังทางบกโดยเรือดํานํ้าปฏิบัติภารกิจได้แค่การโจมตีเรือลําเลียงเท่านั้น จํานวนเรือผิวนํ้าในสมรภูมินี้มีมากกว่า เรือดํานํ้ามาก โดยในปี ค.ศ. 1941 จํานวนเรือผิวนํ้าทุกประเภทที่ปฏิบัติการในทะเลบอลติค ของฟินแลนด์ 60 ลํา เยอรมันมากกว่า 60 ลํา โซเวียต ฯ 123 ลํา (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) เฉพาะ 3 ชาตินี้ อัตราส่วนของเรือดํานํ้าต่อเรือผิวนํ้าประมาณ 1 ต่อ 3.4 เท่า
ดังนั้นเรือดํานํ้าจึงไม่ใช่กําลังหลักเรือผิวนํ้ายังคงเป็นกําลังที่มีบทบาทสําคัญกว่า เรือดํานํ้าปฏิบัติภารกิจได้จํากัดเฉพาะการโจมตีเรือลําเลียงเท่านั้น และง่ายต่อการถูกทําลายด้วยเรือปราบเรือดํานํ้าธรรมดา
ตัวอย่างที่ดีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการปฏิบัติการเล็กๆที่สําคัญแต่มีการกล่าวถึงน้อย คือ บริเวณทะเลแคริบเบียนและแอตแลนติกตอนใต้ กองทัพเรือบราซิลซึ่งเป็นกองทัพเรือเล็กๆมีแค่เรือกวาดทุ่นระเบิดจํานวนหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นเรือปราบเรือดํานํ้าเพื่อคุ้มกันกระบวนเรือ ลําเลียง ในช่วง 3 ปีของสงครามบราซิลคุ้มกันเรือ 3,167 ลําใน 614 กระบวนฯ รวมระวางขับนํ้า 16,500,000 ตัน โดยสูญเสียเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ และจมเรือดํานํ้าเยอรมันและอิตาลีได้เกินกว่า 10 ลํา
สิ่งที่สังคมเข้าใจผิดอย่างแท้จริงคือความสําคัญของเรือดํานํ้า เพราะเรามักจะได้รับข้อมูลเรื่องความสําเร็จของเรือดํานํ้า และชื่นชมเรือดํานํ้าเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่สิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือ เหยื่อของเรือดํานํ้าในสงครามโลกครั้งที่สองเกือบทั้งหมดเป็นเรือลําเลียงและ เรือสินค้าที่ไม่มีอาวุธ เมื่อเผชิญกับเรือปราบฯ เรือดํานํ้ากลับเป็นเหยื่อเสียเอง ความสูญเสียของเรือดํานํ้าจึงสูงกว่ากําลังรบอื่นๆ และเรือดํานํ้าต้อง มีจํานวนมากจึงจะปฏิบัติงานได้ผล การที่เยอรมันซึ่งเน้นการใช้เรือดํานํ้าล้มเหลวในการสกัดกั้นการลําเลียงไปสู่เกาะอังกฤษทําให้เอาชนะ อังกฤษไม่ได้ และทําให้การลําเลียงทหารและยุทโธปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการยกพลขึ้นบก( D-Day) เป็นไปโดยสะดวก ความพ่ายแพ้ของเรือดํา นํ้าเยอรมันจึงทําให้พันธมิตรพิชิตเยอรมันได้เร็วขึ้น กําลังหลักทางเรือในสงครามโลกครั้งท2ี่ คือเรือผิวนํ้า ส่วนเรือดํานํ้าของฝ่ายอักษะทั้ง เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่นโดนทําลายเกือบหมดทั้งกองเรือ และเรือดํานํ้าของฝ่ายพันธมิตรเองก็สูญเสียอย่างมาก ในสงครามโลกครั้งท2ี่ เรือดํานํ้า จึงไม่ใช่เรือรบที่มีศักยภาพสูงสุดในบรรดาเรือรบด้วยกัน บทสรุปของบทบาทเรือดํานํ้าในสงครามโลกครั้งที่สองจึงชัดเจนว่า เหยื่อของเรือดํานํ้า เกือบทั้งหมดเป็นเรือลําเลียงและเรือสินค้าที่ไม่มีอาวุธ เมื่อเผชิญกับเรือปราบฯ เรือดํานํ้ากลับเป็นเหยื่อเสียเอง
ราคาของเรือดํานํ้า 3 ลํา เมื่อเปรียบเทียบกับเรือผิวนํ้าขนาดเดียวกัน (ยาวประมาณ 60-70 เมตร) อาจสร้างเรือผิวนํ้าที่มีอาวุธตอร์ปิโดได้มากกว่า 30 ลํา และสามารถปฏิบัติภารกิจได้มากกว่า หลังสงครามโลกครั้งท2ี่ ทั้งยุคสงครามเย็น สงครามฟอร์คแลนด์ สงครามในตะวันออกกลาง ฯลฯ เรือดํานํ้าไม่เคยมีบทบาทในการรบอีกเลย
การปฏิบัติการของเรือดํานํ้าในสงครามทางเรือจึงมีขีดจํากัดอย่างมาก เรือผิวนํ้าจึงยังครองบทบาทหลักในการยุทธ์ทางเรือทั้งในอดีต และปัจจุบัน จึงจําเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและกระจายการใช้งบประมาณให้สามารถปฏิบัติการได้ครบทุกสาขา การลงทุนงบประมาณ ส่วนใหญ่กับเรือดํานํ้าจึงอาจทําให้ภารกิจสําคัญถูกละเลย และอาจไม่คุ้มค่า
(4) การปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
การปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลมีกองทัพเรือเป็นหน่วยงานหลัก การปฏิบัติหน้าที่ต้องมีกําลังรบทางเรือที่มีขีดความสามารถในการยุทธ์ทุกสาขาเช่นเดียวกับการปฏิบัติการด้านความมั่นคง แต่ในยามสงครามต้องเน้นการต่อต้านเรือผิวนํ้า ต่อสู้อากาศยาน ต่อต้านทุ่นระเบิด การลําเลียงและคุ้มกันการลําเลียง ส่งกําลังในทะเล ลาดตระเวน ระดมยิงฝั่ง ปราบเรือดํานํ้า การขัดขวางการใช้ทะเลของข้าศึก การควบคุมทะเล และ ฯลฯ ส่วนภารกิจในยามสงบจะต้องเน้นการลาดตระเวน และการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสพภัย
เมื่อพิจารณาภารกิจที่จําเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเรือผิวนํ้ายังคงมีบทบาทสูงกว่าเรือดํานํ้าเพราะด้วยข้อจํากัดโดยธรรมชาติของเรือดํานํ้าทําให้เรือดํานํ้ามีข้อจํากัดในการปฏิบัติภารกิจทางทะเล เรือดํานํ้าปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ได้เพียง บางอย่างเท่านั้น เช่นการสอดแนม และการหาข่าวเฉพาะจุด ภารกิจอื่นๆแทบจะใช้ไม่ได้เลย ดังนั้นเรือดํานํ้าจึงเป็นกําลังหลัก ในการ ปกป้อง ผลประโยชน์ของชาติทางทะเลไม่ได้
การปกป้องผลผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจึงต้องใช้เรือผิวนํ้าหลายประเภท ถ้าใช้เงินกับเรือดํานํ้าจนหมดเราจะล้มเหลวในการ ปกป้องสิ่งที่เราหวงแหน แต่จะลงทุนกับอาวุธชนิดใดเราจะต้องคิดว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจากอะไร ศัตรูของเราในอนาคต คืออะไร เราจะต่อสู้กับอะไร และจะรบอย่างไร
(5) เรือดํานํ้ายุคใหม่ดีจริงหรือ
เรือดํานํ้าในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน คือ
1. เรือดํานํ้าทางยุทธศาสตร์ (Ballistic Missile Submarine) เป็นเรือดํานํ้าขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ติดตั้ ง อาวุธนําวิถีข้ามทวีป (Submarine-Launched Ballistic Missiles – SLBMs) หัวรบนิวเคลียร์ (nuclear warheads) ปัจจุบันมีเพียง 6 ชาติที่มีใช้ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และอินเดีย ภารกิจของเรือดํานํ้าทางยุทธศาสตร์คือการป้องปรามทางยุทธศาสตร์โดยเป็นฐานยิงอาวุธนําวิถีฯ เท่านั้นเพื่อให้มีขีดความสามารถในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ทั้ง 3 ทาง (nuclear triad : Land, Aircraft, Sea) ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงการป้องปรามด้วย เรือดํานํ้าจึงหมายถึงเรือดํานํ้าชนิดน ี้
2. เรือดํานํ้าโจมตี (Attack Submarine) เป็นเรือดํานํ้าที่ออกแบบสําหรับโจมตีเรือทั้งเรือผิวนํ้าและเรือดํานํ้า มีอาวุธที่สําคัญคือ ตอร์ปิโด และอาวุธปล่อยนําวิถี (cruise missile) แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เรือดํานํ้าโจมตีทุกลําจะโจมตีเรือดํานํ้าได้ และบางลําก็ไม่มีขีดความสามารถในการ ยิงอาวุธปล่อยนําวิถี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบของเรือนั้นด้วย การมีเรือดํานํ้าจึงไม่ใช่จะมีขีดความสามารถทุกชนิด และจุดมุ่งหมายของเรือดํานํ้าโจมตี คือการขัดขวางเส้นทางลําเลียง เป้าของเรือดํานํ้าคือเรือลําเลียงหรือเรือสินค้าไม่ใช่เรือรบ เรือดํานํ้าโจมตียังแบ่งออกเป็นหลายขนาด คือเรือดํานํ้า จิ๋ว (midget submarine) มีขนาดไม่เกิน 150 ตัน เรือดํานํ้าขนาดเล็ก ใหญ่กว่า 150 ตันจนถึง 1,000 ตัน เรือดํานํ้าขนาดกลาง 1,000 – 2,000 ตัน และ ขนาดใหญ่ เกินกว่า 2,000 ตันขึ้นไป (ขนาดของเรือดํานํ้าแต่ละประเทศกําหนดไม่เท่ากัน) เรือดํานํ้าที่ปฏิบัติงานในทะเลบอลติคในสงคามโลก ครั้งที่ 2 คือเรือดํานํ้าขนาดเล็ก เพราะนํ้าตื้นเป็นอุปสรรคต่อเรือดํานํ้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ในการเดินเรือและการซ่อนพล าง เรือดํานํ้า S26T ในโครงการของกองทัพเรือเป็นเรือดํานํ้าโจมตีขนาดใหญ(่ 2,600 ตัน) ทั้งโครงการจํานวน 3 ลํา มีอาวุธตอร์ปิโดต่อต้าน เรือผิวนํ้า 4 ลูก
เรือดํานํ้าโจมตีสมัยใหม่มีเทคโนโลยีสูงกว่ายุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก เทคโนโลยีทําให้เรือดํานํ้าอยู่ใต้นํ้าได้นานขึ้น สําหรับเรือดํานํ้าดีเซลอาจอยู่ได้ถึง 20 วัน มีความเร็วไต้นํ้าสูงขึ้น มีโซนาร์ที่มีประสิทธิภาพ จับเป้าได้ไกลขึ้นมีอาวุธที่มีระยะยิงไกลขึ้นและแม่นยํามากขึ้นโดยสรุปคือ เรือดํานํ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น
แต่ธรรมชาติของตัวเรือดํานํ้าเองยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความเร็วสูงสุดยังตํ่ากว่าเรือผิวนํ้ามาก และถ้าใช้ความเร็วสูงจะเกิดเสียง (noise) มากทําให้ถูกตรวจจับได้ง่าย เรือดํานํ้าขณะปฏิบัติการจึงต้องใช้ความเร็วตํ่า การเข้าหาเป้าจึงช้า อาจไม่ทันการ ส่วนการเข้าต่อตีเป้าหมาย ด้วยอาวุธก็มีข้อจํากัดคือ ตอร์ปิโดแม้จะเร็วขึ้น แม่นยําขึ้น แต่ก็ยังช้าและระยะยิงจํากัดเรือผิวนํ้าจะรู้ตัวก่อนและหลบหลีกได้ และสําหรับอาวุธ ปล่อยนําวิถีซึ่งแม้จะแม่นยําและระยะยิงไกล แต่ปัญหาของการยิงอาวุธปล่อยนําวิถีไม่ใช่การจับเป้า (contact) แต่อยู่ที่การวินิจฉัยเป้า ( classify) ว่าเป็นเป้าอะไร เป็นข้าศึก ฝ่ายเดียวกัน หรือเป็นกลาง ในขณะที่เรือดํานํ้ามีสูงตาแค่ประมาณ 10 เมตรเมื่อลอยลําจึงยากที่จะทําได้โดยลําพัง แต่ การอยู่ใต้นํ้าก็ไม่สามารถสื่อสารกับหน่วยอื่นได้จึงร่วมมือกับคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าแต่ข้อจํากัดโดยธรรมชาติในตัวมันเอง ยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อจํากัดในปัจจัยมนุษย์ในแง่จิตวิทยาขณะปฏิบัติการใต้นํ้า ในที่แคบ ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจอโซนาร์ที่ให้ข้อมูล แค่ภาพสะท้อนของคลื่นเสียงในขณะที่ใช้โซนาร์แบบแอคทีฟ( Active) หรือได้ยินแค่เสียงใบจักรเรือผิวนํ้าในขณะที่ใช้โซนาร์แบบพาสซีฟ (passive) ยามที่ต้องหลบหลีกการโดนโจมตีจากเรือผิวนํ้า ข้อจํากัดนี้ยังคงเดิมหรือมากกว่าเดิม( จากความกลัวเมื่อข้าศึกมีขีดความสามารถสูงขึ้น) อันจะทําให้เป็นข้อจํากัดในศักยภาพของเรือดํานํ้ามากเสียยิ่งกว่าปัจจัยของตัวเรือดํานํ้า
ในขณะที่เรือปราบเรือดํานํ้าและอุปกรณ์ในการค้นหาและทําลายเรือดํานํ้าก็ก้าวหน้าไปมาก เช่น ตัวเรือผิวนํ้า เร็วขึ้น เงียบขึ้น โซนาร์จับเป้าใต้นํ้าได้ไกลขึ้น วินิจฉัยเป้าได้ดีขึ้น อาวุธเช่นตอร์ปิโดและอาวุธปล่อยนําวิถีปราบเรือดํานํ้ามีระยะยิงไกลขึ้น แม่นยําขึ้น โดยที่เรือดํานํ้าไม่ มีโอกาสหลบหลีกเหมือนเรือผิวนํ้า( เพราะความเร็วตํ่า และต้องการซ่อนตัว) และด้วยข้อจํากัดโดยธรรมชาติของเรือดํานํ้าทําให้อาวุธปราบเรือ ดํานํ้าพื้นฐานดั้งเดิมเช่น ระเบิดนํ้าลึก (Dept charge) จรวดปราบเรือดํานํ้า (hedge hog) และระเบิดมือธรรมดา (grenade) ก็ยังอันตรายและน่ากลัว สําหรับเรือดํานํ้า รวมทั้งข้อจํากัดในปัจจัยมนุษย์บนเรือผิวนํ้าน้อยกว่าเรือดํานํ้ามาก ขวัญและกําลังใจของกําลังพลเรือผิวนํ้าจึงเหนือกว่าเรือดํานํ้า เรือดํานํ้าจึงยังไม่ได้เปรียบเรือปราบเรือดํานํ้า ตัวอย่างที่น่าคิดคือ กําลังทางเรือของอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในสภาวะสงครามมายาวนาน กลับมีเรือดํานํ้าแค่ 4 ลํา โดยมีภารกิจหลักคือการแทรกซึมและการส่งหน่วยรบพิเศษลักลอบขึ้นฝั่งเท่านั้น
เรือดํานํ้าโจมตี (Attack submarine) พัฒนาไปมากแต่เรือปราบเรือดํานํ้าก็พัฒนาไปเช่นกันและอาจจะมากกว่าด้วย เรือดํานํ้าโจมตีจึงไม่ใช่อาวุธที่จะสร้างความยําเกรงให้กับเรือรบผิวนํ้า และเรือดํานํ้าโจมตีไม่ใช่อาวุธป้องปรามแต่อย่างใด เราควรรู้จักเรือดํานํ้าตามที่มันเป็น อย่า เชื่อโดยขาดความรู้และการพิจารณาอย่างมีเหตุผล
(6) สงครามยุคปัจจุบัน
คําถามแรกสําหรับการเตรียมกําลังรบที่ทหารจะต้องหาคําตอบคือ เราจะเตรียมอาวุธอะไรสําหรับสงครามในอนาคต ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเตรียมการรบแบบสงครามสนามเพลาะ (trench warfare) ที่เคยใช้ได้ผลในสงครามโลกครั้งท1ี่ ในขณะที่เยอรมันใช้รถถังและ การเคลื่อนที่เร็วสามารถโจมตีและยึดปารีสได้ใน 6 สัปดาห์ ญี่ปุ่นสร้างเรือประจัญบานที่ทรงอานุภาพที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1เพื่อใช้ใน สงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่สหรัฐฯพัฒนาไปสู่เรือบรรทุกเครื่องบิน ทําให้ญี่ปุ่นแพ้สงครามทางเรือก่อนที่จะต้องยอมแพ้ การเตรียมกําลังรบ จึงต้องมองไปยังอนาคตไม่ใช่เตรียมกําลังรบสําหรับสงครามในอดีต
ประสบการณ์จากสงครามโลกทั้งสองครั้งน่าจะเป็นบทเรียนของชาติมหาอํานาจที่จะไม่ทําสงครามกันเองโดยตรง แต่จะใช้สงคราม ตัวแทน หรือการให้การสนับสนุนการทําสงคราม เช่นในสงครามเวียดนาม หรือในสงครามอิรัก ซีเรีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และผลที่ ตามมาอย่างแน่นอนจากความเดือดร้อนของประเทศที่โดนทําร้ายคือการตอบโต้ด้วยอาวุธที่ด้อยเทคโนโลยีแต่สร้างได้เองในพื้นที่ ราคาถูก เช่น ท่อยิงจรวดของชาวปาเลสไตน์ที่ทําจากเสาไฟสัญญาณจราจรของอิสราเอล การตอบโต้เช่นนี้อาจถูกเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย แต่สงครามการ ก่อการร้ายนี้จะขยายออกไปทั่วโลกและยาวนานต่อไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ่อนกําลังลง จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่ง การชนะสงครามไม่ว่ารูปแบบไดผู้ชนะคือผู้ที่สามารถยืนระยะได้นานกว่ารูปแบบของสงครามในปัจจุบันและอนาคตจึงไม่ใช่การรบตามแบบแต่จะเป็นการก่อการร้ายที่ใช้อาวุธที่สร้างเอง ต้นทุนตํ่า หลบหลีกการรบซึ่งหน้า ดังนั้นอาวุธที่มีเทคโนโลยีสูง มีราคาแพงอาจไม่คุ้มค่า และจะทําให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศล่มสลายไปด้วย
การป้องกันและตอบโต้การก่อการร้ายในทะเลมีมาตรการที่ประกอบด้วย การลาดตระเวนตรวจการณ์ทั้งในเขตเศรษฐกิจจําเพาะ ทะเลอาณาเขต และบริเวณชายฝั่ง ซึ่งต้องทําด้วยเรือผิวนํ้าและเครื่องบิน เรือดํานํ้าไม่มีขีดความสามารถนี้ ยุคของการสร้างสมดุลทางทหาร (balance of power) ที่ต้องเสริมสร้างอาวุธให้เท่าเทียมกับเพื่อนบ้านหมดไปแล้ว การซื้อเรือดํานํ้าตามเพื่อนบ้านจึงไม่ใช่ความคิดที่ดี อย่างน้อยก็ในยุคที่ทุกประเทศต้องแก้ปัญหาภายในจากการก่อการร้าย วิธีการรบที่จะโจมตีเส้นทางลําเลียง ข้าศึกด้วยเรือดํานํ้าเหมือนเยอรมันทําในสงครามโลกครั้งที่สองทําไม่ได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกองทัพเรือไทยด้วยเรือดํานํ้า 1-3 ลํา กับ ตอร์ปิโด 4 ลูก สงครามไม่ว่ายุคสมัยใด ไม่ว่าจะรบแพ้กี่ครั้ง ผู้ชนะคือผู้ที่ยืนระยะได้นานกว่า การจะยืนระยะได้นานต้องเตรียมการรบสําหรับอนาคต
(7) เรื่องที่น่าห่วง
นอกเหนือจากความคุ้มค่าของเรือดํานํ้าทั้งในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคงแล้ว ประเด็นการจัดซื้อก็น่าเป็นห่วงสําหรับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ที่อาจเป็นการละเมิดระเบียบการจัดซื้อ จัดจ้างในแง่ของการคัดเลือกในขั้นตอนแรกที่มีเงื่อนไขต้องการซื้อแค2่ ลํา แต่ตัดสินเลือกผู้ เสนอ 3 ลําจึงเป็นการเลือกจากพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน แม้ราชการจะได้ประโยชน์แต่ก็เป็นการไม่เป็นธรรมกับผู้แข่งขันรายอื่นๆที่ไม่ได้เสนอ3 ลํา และในเวลาต่อมากลับเสนอซื้อเพียงลําเดียวจากผู้ที่เสนอ 3 ลําในราคาที่ไม่ใช่ 1 ใน 3 ของราคาเดิม นอกจากนั้นประเด็นที่สําคัญมากคือการ ผูกพันงบประมาณที่จะต้องขออนุมัติพิเศษ ผูกพัน 9-11 ปีจากที่ระเบียบกําหนดให้เพียง 3 ปีซึ่งจะเป็นการละเมิดวินัยการใช้งบประมาณของส่วน ราชการอย่างร้ายแรง เพราะการขอผูกพันงบประมาณเกินกว่า 3 ปีย่อมหมายความว่าเกิดการใช้จ่ายงบประมาณที่เกินตัว จึงน่าห่วงสําหรับ ผู้เกี่ยวข้องที่ตั้งใจดีแต่อาจจะพลาดละเมิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ สําหรับข้าราชการไม่ว่าตําแหน่งใด การเกษียณและได้รับบําเหน็จบํานาญถือเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ของตนเองและวงศ์ตระกูล
บทสรุปของเรือดํานํ้าสําหรับประเทศไทย
ความเห็นเรื่องการซื้อเรือดํานํ้าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นที่สนใจของมวลชนเพราะใช้เงินจํานวนมาก แม้จะเป็นงบประมาณในส่วนของกองทัพเรือเอง แต่เงินทั้งหมดก็มาจากเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งก็คือเงินภาษีที่เก็บมาจากประชาชน
ดังนั้นจึงต้องรับฟังความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้าน และจะต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบถึงความคุ้มค่า รวมทั้งต้องดําเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส การฝ่าฝืนหรือพลิก แพลงการใช้ระเบียบโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือโดยจงใจย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น และอาจส่งผลเสียทั้งความมั่นคงของชาติและสวัสดิภาพของ ตนเอง ต้องคิดอย่างรอบคอบว่า ณ เวลานี้ระหว่างมีกับไม่มีอะไรจะดีกว่ากัน