แก้วสรร อติโพธิ : คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ภาค 2
"..งานนี้กรรมการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเขาไม่ได้สินบนเงินทองอะไร มันต้องมีอำนาจขนาดใหญ่มาบงการพวกเขาแน่ๆ ก็เลยระดมสรรพกำลังขอตำรวจเศรษฐกิจและเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ มาตรวจสอบเส้นทางการเงิน จนพบว่าเงินกู้ก้อนนี้มีไหลไปอยู่ในชื่อบริวารนายกฯ และคุณหญิง 105 ล้าน แถมยังมีจ่ายเป็นเช็ค 17 ล้านเข้าบัญชีลูกชายนายกฯ ด้วย (เช็คนี้เขียนสั่งจ่ายแล้วก็ขีดฆ่าภายหลัง) ครั้นสอบปากคำบรรดากรรมการโดยละเอียด ก็ได้ปากคำเพิ่มเติมว่า งานนี้ประธานบอกกับที่ประชุมว่า "บอส" สั่ง จึงขอให้ยอมๆ อนุมัติกันไป.."
หมายเหตุ : เป็นบทความเรื่อง "คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ภาค 2" ของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2558
--------------------
คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยที่กลุ่มผู้บริหารธนาคารกับผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ บริษัทหนึ่งรวม 19 คน ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ให้ลงโทษคนละ 12-18 ปีนั้น ยังมีความเห็นคุกรุ่นกันอยู่ว่า ทำไมศาลถึงลงโทษหนักอย่างนี้ ดูข่าวแล้วก็นึกกันว่า เมื่อใดฝ่ายนักการเมืองจอมบงการจึงจะถูกลงโทษบ้าง
ในฐานะที่ได้เคยร่วมตรวจสอบคดีนี้มาเมื่อครั้งเป็น คตส. ผมก็ขอสังเคราะห์ข้อมูลมาเสนอคำตอบ โดยสังเขปดังนี้
ถาม การตัดสินใจปล่อยเงินกู้นี่ มันถึงขั้นเป็นทุจริตได้อย่างไร?
ตอบ คุณต้องรู้ความเป็นมาของคดีนี้ก่อนว่า คดีนี้บริษัทอสังหาฯ ที่เป็นจำเลย เขามีที่ดินติดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ 4,000 ไร่ แต่ติดจำนองอยู่กับธนาคารกรุงเทพ จนเมื่อการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิแล้วเสร็จ บริษัทนี้เขาก็ทำโครงการเมืองใหม่บนที่แปลงนี้ขึ้นมา ขอกู้จากธนาคารกรุงไทยนับหมื่นล้าน โดยก้อนแรก 8 พันล้านก็ขอกู้ไปชำระหนี้ให้ธนาคารกรุงเทพแล้วเอาที่ดินที่ติดจำนองอยู่มาจำนองกับกรุงไทย ส่วนอีกก้อนหนึ่งก็กู้ไปเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นจริงต่อไป
จำเลยที่เป็นคณะกรรมการก็ได้มีมติให้กู้กันไปเมื่อปี 2546 แต่ต่อมาธนาคารแห่งประเทศไทยยุคนั้นตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็เลยเอาเรื่องแจ้งความดำเนินคดีกรรมการเหล่านี้กับตำรวจกองบังคับการเศรษฐกิจ ตำรวจสอบเบื้องต้นแล้วส่งไปให้ ป.ป.ช. จากนั้น คตส.จึงขอให้ ป.ป.ช.ส่งเรื่องมาให้ตน รับมาแล้วก็ตรวจสอบจนแล้วเสร็จส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องในที่สุด
ถาม จากการตรวจสอบของทุกฝ่าย พบอะไรตรงกันบ้าง?
ตอบ มันเป็นการปล่อยกู้ที่ผิดมาตรฐานโดยสิ้นเชิงคือ
1.บริษัทนี้ทรุดหนักจากวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ฐานะการประกอบการยังสลบอยู่ในบัญชีดำ ปล่อยเงินกู้เป็นหมื่นล้านให้ไม่ได้
2.โครงการนี้ไม่ใช่สร้างหมู่บ้านจัดสรร แต่สร้างเมืองทั้งเมืองบนเนื้อที่ 4,500 ไร่ คุณภาพความเป็นไปได้ของโครงการยังเป็นปัญหามาก ปล่อยกู้ใน 3 วันหลังรับคำขอโดยเสนอให้ที่ประชุมกรรมการตัดสินกันเป็นวาระจรได้อย่างไร
3.เงินกู้ก้อนหลัก 8 พันล้านที่จำเลยขอกู้ เพื่อย้ายหนี้เอาที่ดินมาไว้กับกรุงไทยนั้น ความเป็นจริงปรากฏว่าหนี้ก้อนนี้ธนาคารกรุงเทพเขาแฮร์คัตให้แล้วเหลือ 6 พันล้านบาท จำนวนที่ขอและอนุมัติให้กู้ไป 8 พันล้านจึงเกินความเป็นจริง และมุ่งเอื้อประโยชน์โดยมิชอบให้บริษัทอสังหาฯ นี้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นแทนที่กรุงไทยจะจัดการส่งเงินรีไฟแนนซ์ก้อนนี้ให้ธนาคารกรุงเทพเองโดยตรงตามมาตรฐานที่ทำกันทุกธนาคาร พวกคุณกลับส่งมอบเงินให้ลูกค้ารับไป 8 พันล้านบาท แล้วลูกค้าก็แบ่งส่งธนาคารกรุงเทพเพียง 6 พันล้านบาท ทำอย่างนี้มันเหมือนธนาคารเปิดเซฟให้ปล้นไป 2 พันล้านเลยทีเดียวถาม แล้วเรื่องมันไปพันถึงคุณทักษิณได้อย่างไรตอบ ตรงนี้เป็นฝีมือตรวจสอบของ คตส. ที่เชื่อว่างานนี้กรรมการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเขาไม่ได้สินบนเงินทองอะไร มันต้องมีอำนาจขนาดใหญ่มาบงการพวกเขาแน่ๆ ก็เลยระดมสรรพกำลังขอตำรวจเศรษฐกิจและเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ มาตรวจสอบเส้นทางการเงิน จนพบว่าเงินกู้ก้อนนี้มีไหลไปอยู่ในชื่อบริวารนายกฯ และคุณหญิง 105 ล้าน แถมยังมีจ่ายเป็นเช็ค 17 ล้านเข้าบัญชีลูกชายนายกฯ ด้วย (เช็คนี้เขียนสั่งจ่ายแล้วก็ขีดฆ่าภายหลัง) ครั้นสอบปากคำบรรดากรรมการโดยละเอียด ก็ได้ปากคำเพิ่มเติมว่า งานนี้ประธานบอกกับที่ประชุมว่า "บอส" สั่ง จึงขอให้ยอมๆ อนุมัติกันไป
หลักฐานทั้งปากคำและการส่งเงินทั้งหมดนี้ มันแวดล้อมให้เราเชื่อได้ว่า "บอส" คนนั้น คือคุณทักษิณ เราจึงมีมติให้ฟ้องคุณทักษิณเป็นจำเลยที่ 1 ด้วย คดีนี้ก็เลยขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แต่นักการเมืองก็หนีไป ทิ้งให้บรรดากรรมการและเจ้าหน้าที่ตาดำๆ ติดคุกไป เช่นทุกวันนี้
ถาม แล้วทำไมจึงไม่ฟ้องลูกชายนายกฯ และบริวารอีก 3 คนที่มีชื่อรับส่วนแบ่งจากเงินกู้ทุจริตก้อนนี้ด้วยเป็นจำนวน 105 ล้านบาท เห็นว่าตอนแรกๆ คตส.ก็กล่าวหาว่า 4 คนนี้เป็นผู้สนับสนุนไม่ใช่หรือ
ตอบ ครับ..แต่ในชั้นลงมติส่งฟ้องนั้น คตส.เราเถียงกันหนักว่าคดีมันไม่มีหลักฐานพอฟังได้ว่า 4 คนนี้รู้เห็นปรึกษาทุจริตกับคุณทักษิณ เขาอาจจะถูกใช้ชื่อเปิดบัญชีรับส่วนแบ่งแทนบอส ภายหลังความผิดสำเร็จแล้วเท่านั้นก็ได้ ดังนั้น ถ้าเรารวมคนรับฟอกเงินพวกนี้ไปฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ที่มีขึ้นเพื่อจัดการกับการกระทำทุจริตของนักการเมืองโดยเฉพาะ และตัดสินทีเดียวตายเลยนั้น มันคงไม่ง่าย โอกาสที่ศาลท่านจะไม่รับฟ้องจนหลุดเงื้อมมือกฎหมายไปเลยน่าจะสูงมาก แต่ถ้าแบ่งสำนวนไปฟ้องศาลอาญาธรรมดาว่าคนพวกนี้ช่วยรับซุกซ่อนทรัพย์สินจากการทุจริตเป็นความผิดฐานรับของโจรดังนี้ก็น่าจะถูกต้องกว่า..ได้คิดอย่างนี้แล้วเราจึงมีมติเห็นควรให้ตัดสำนวนของ 4 คนนี้ไปให้ดีเอสไอ รับไปทำคดีขึ้นศาลอาญาฐานรับของโจรในที่สุด และผมก็เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ สตง.ในฐานะธุรการของ คตส.เขาก็คงส่งสำนวนพร้อมมติของ คตส.ไปให้ดีเอสไอแล้วด้วย
ถาม ฟังแล้ว..เรื่องฟ้องลูกและบริวาร 4 คนของนักการเมืองนี้ เราก็ต้องไปจี้ไปถามที่ดีเอสไอหรือท่านรัฐมนตรีไพบูลย์ที่ดูแลดีเอสไอ ให้เดินหน้าสอบสวนตั้งข้อหา ขึ้นศาลฐานรับของโจรต่อไป ใช่ไหมครับ
ตอบ ครับ..ลูกบอลมันอยู่ตรงนั้น คตส.เตะส่งไป 8 ปีแล้ว
ถาม ในภายหน้า..ถ้าคุณทักษิณกลับมาขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองในคดีกรุงไทยนี้ หลักฐานมันจะอ่อนไหมในเมื่อไม่มีลูกและบริวาร 4 คนที่รับเงิน ร่วมเป็นจำเลยด้วย
ตอบ ถ้าเกิดคดีจริงๆ ศาลท่านก็เรียก 4 คนนี้มาให้ความจริงได้อยู่ดีครับว่า ไปมีชื่อรับเงิน 105 ล้านที่มาจากเงินกู้ทุจริตเป็นหมื่นล้านนี้ได้อย่างไร..ผมว่าไม่มีปัญหาครับ และทุกวันนี้ ดีเอสไอกับอัยการก็น่าจะเดินหน้าฟ้อง 4 คนนี้ไปก่อนได้เลยโดยไม่ต้องรอให้ฟ้องคุณทักษิณเลย
ถาม คดีเงินกู้ทุจริตธนาคารกรุงไทยนี้ ใช้เป็นฐานให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่
ตอบ ได้ครับ...เพราะกฎหมายทุกประเทศก็มีฐานความผิดทุจริตต่อหน้าที่เหมือนๆ กัน ส่งผู้ร้ายทุจริตให้กันได้อยู่แล้ว สำนักอัยการสูงสุดของไทยควรใช้คดีกรุงไทยนี้ขอให้ทุกชาติในโลกช่วยส่งคุณทักษิณกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนคดีทุจริตได้ทุกประเทศเลย
นี่คืองานหลักที่กระบวนการยุติธรรมไทยต้องทำ จะหยุดอยู่แค่การลงโทษอย่างรุนแรงกับกรรมการและเจ้าหน้าที่ธนาคารตาดำๆ เท่านั้นไม่ได้ มันไม่ถูก
ถาม ไม่ถูกอย่างไรครับ
ตอบ ผมว่าคดีนี้ศาลท่านวางโทษหนัก ก็เพื่อต้องการป้องปรามบรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทั้งปวงว่า อย่ายอมตนเป็นเครื่องมือของ "วิสาหกิจทุจริตทางการเมือง" อีกต่อไป
ถาม "วิสาหกิจทุจริตทางการเมือง" นี่มันคืออะไร
ตอบ คือการแปลงระบบผู้แทนไทยทั้งระบบ ให้เป็นการลงทุนซื้ออำนาจ แล้วใช้อำนาจโดยทุจริตจนได้กำไรมากมาย ทำกันจนคอร์รัปชันกระจายไปทุกระดับ เริ่มต้นตั้งแต่การขายเสียงเลือกตั้งของประชาชนเลยทีเดียว
ผมเข้าใจว่าศาลท่านก็เห็นตรงนี้ว่า ระบอบคอร์รัปชันอย่างนี้มันระบาดจนเป็นภัยร้ายแรงจ่อคอหอยสังคมไทย ท่านจึงวางโทษหนักอย่างที่เห็น
ถาม มันเป็นการใช้อารมณ์กันจนเกินไปไหมครับ
ตอบ ดุลพินิจในการวางโทษให้เหมาะสมกับการแตกตัวของอาชญา กรรมในแต่ละช่วงเวลานี้ ถือเป็นอำนาจและหน้าที่ของอำนาจตุลาการโดยตรงเลยทีเดียวนะคุณ ถ้าเข้าใจอย่างนี้การวางโทษจำเลยในคดีนึ้ในกรอบนิตินโยบายนี้ผมก็ว่าเหมาะสมแล้ว เหลือก็แต่ฝ่ายบริหารเท่านั้นที่จะต้องสานต่อขยายผลต่อไป
ถาม ขยายผลอย่างไร
ตอบ รัฐบาลต้องสั่งการให้อัยการและดีเอสไอทำหน้าที่ตามกฎหมาย ลากจอมบงการและลูกพร้อมบริวารมาขึ้นศาลให้ได้ ทั้งหมดนี้ นี่คือลูกบอลที่คาเท้าท่านอยู่ชัดๆ
ท่านต้องสั่งการให้พวกเขาทำงาน..อย่ามัวไปฝอยประกอบเพลงทางทีวีว่าจะคืนความสุขให้ชาวบ้าน โดยชูปึกกระดาษในมือที่เรียกว่าร่างรัฐธรรมนูญอยู่เลยนะครับท่าน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก ทีนิวส์