เอ็กซ์คูลซีฟ:ลึกสุดใจ"ธาริต เพ็งดิษฐ์" ณ จุดวิกฤตสุดขีดในชีวิต "ขรก."
“...ตอนนี้ผมคงไม่ทำอะไร ต้องรับชะตากรรมไป เพราะชีวิตข้าราชการประจำ มันถูกกำหนดมาแบบนี้ ผมไม่ได้มีพรรคการเมืองอะไรสังกัด จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มขยายตัวไปแล้ว กลายเป็นว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องมาเจออะไรไม่ดีแบบนี้ ใครที่เกี่ยวข้องกับผม มีนามสกุล "เพ็งดิษฐ์" ซวยกันหมด.."
"เรื่องหุ้นบริษัท (บริษัท ภูเก็ต-พังงา เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด) ที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข้อมูลไป ผมยังไม่ขอตอบคำถามอะไรตอนนี้นะ ผมขอตรวจสอบข้อมูลก่อน เรื่องมันนานแล้ว ยังงงอยู่เหมือนกันว่า เข้าไปถือหุ้นอยู่ได้อย่างไร แต่เงินก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ”
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ในระหว่างการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปรากฏชื่อเข้าไปถือหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่อว่า บริษัท ภูเก็ต-พังงา เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด ซึ่งนายบุญธรรม บุญเทพประทาน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็นเจ้าของธุรกิจอาบอบนวดชื่อดังและเกี่ยวพันกับการถูกกล่าวหาว่าถือครองที่ดินกรณี บริเวณชะง่อนผา เขาหนองเชื่อม ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี กว่า 330 ไร่ อยู่ในขณะนี้
(ต่อมานายธาริต ได้ติดต่อชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม โดยระบุว่าได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวจริง แต่ขายหุ้นให้กับบริษัทไปนานแล้ว อ่านรายละเอียดได้ใน : "ธาริต"รับซื้อหุ้นบ.อสังหาฯเสี่ย“อาบอบนวด” -แต่ขายคืนได้กำไรนานแล้ว)
นายธาริต ยังกล่าวย้ำกับสำนักข่าวอิศราด้วยว่า "สถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไร ผมกำลังตกอยู่ในฐานะอะไร คนในสังคมน่าจะรู้กันดี สื่อคงรู้ดี ผมคงไม่ต้องพูดอะไร คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผม กำลังจะทำอะไรกับผม ซึ่งตอนนี้ผมก็รับสภาพกับสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น"
“ผมกำลังอยู่ท่ามกลางคดีความจำนวน 26 คดี ที่ถูกฟ้องร้องเข้ามา คนเกลียดผมกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
นายธาริต กล่าวย้ำต่อว่า “ที่พูดแบบนี้ ไม่ได้ต้องการจะร้องขอความเห็นใจจากใครนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับ มันเป็นผลพ่วงจากงานในตำแหน่งหน้าที่ที่ผมเคยรับผิดชอบ ตอนนี้คิดว่าโชคดีที่พ้นหน้าที่มาซะได้ เพราะถ้าอยู่ต่อคงต้องเจ็บตัวหนักกว่านี้แน่ ”
นายธาริต ยังยืนยันด้วยว่า ชีวิตข้าราชประจำของเขาที่ผ่าน ทุ่มเททำงานหนัก ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา ไม่มีพรรคการเมืองหรือนักการเมืองใด มาคอยหนุนหลัง มาวันนี้ต้องถูกฟ้องร้อง ถูกร้องเรียนจำนวนมากจากการทำหน้าที่ที่ผ่านมา ก็ต้องรับสภาพที่มันเกิดขึ้น
และกรณีของเขา อาจจะเป็นตัวอย่างให้กับข้าราชการประจำคนอื่น ว่าต่อไปนี้ อย่าไปทำงาน อย่าไปทุ่มเทอะไรให้กับราชการมาก เพราะมันจะเดือนร้อนในภายหลัง และเขาเชื่อว่าความคิดนี้ อาจกำลังขยายตัวไปยังเพื่อนข้าราชการประจำคนอื่น
“ผมอยู่ดีเอสไอมานาน ทุ่มเททำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่วันนี้สิ่งที่ผมกำลังเจออยู่ จะเป็นตัวอย่างให้กับข้าราชการคนอื่น เห็นว่าว่า อย่าไปทำอะไรมาก อย่าไปทุ่มเทอะไร อย่าเอาอย่าง ธาริต ไม่งั่นจะเจอแบบนี้”
เมื่อถามว่า ในช่วงหลังรัฐประหาร ได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่ นายธาริต ตอบว่า “ไม่มีโอกาสได้พูดคุยเลย”
“ที่ผ่านมาผมทำงานตามหน้าที่ของผม และในข้อเท็จจริงงานดีเอสไอ เราไม่ได้ทำตามลำพัง ชี้เป็นชี้ตายใครได้ทันที ทุกคดีมีอัยการเข้ามาร่วมด้วย และไม่ได้เลือกว่าจะต้องเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คดีคุณตู่ (จตุพร พรหมพันธุ์) กับคุณเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เป็นคดีในศาลก็เป็นเพราะดีเอสไอ เราทำคดีของทุกคนทุกฝ่าย และคนเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะกระทืบธาริตทั้งนั้น"
นายธาริต กล่าวย้ำว่า “ตอนนี้ผมคงไม่ทำอะไร ต้องรับชะตากรรมไป เพราะชีวิตข้าราชการประจำ มันถูกกำหนดมาแบบนี้ ผมไม่ได้มีพรรคการเมืองอะไรสังกัด จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มขยายตัวไปแล้ว กลายเป็นว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องมาเจออะไรไม่ดี ใครที่เกี่ยวข้องกับผม มีนามสกุล เพ็งดิษฐ์ ซวยกันหมด"
“เราไม่ต้องพูดถึงความแฟร์อะไรนะ แต่ผมอยากจะกระตุ้นเตือนความคิดนิดหนึ่ง ว่า สิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นกับผมในขณะนี้ กำลังเกิดขึ้นกับข้าราชการประจำคนหนึ่ง ที่ตั้งใจ และทุ่มเทการทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย จากผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ต่อไปจะมีข้าราชการประจำคนไหนกล้าที่จะมาทำงานกันไหม”
นายธาริต ถาม ก่อนจะขยายความให้ฟังต่อว่า “สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนกำลังมีคนเขียนเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของผม ที่กำลังจะโดนตัดโดนเชือด เป็นตัวอย่างให้ดูว่าอย่าไปทำแบบนี้นะ อย่าไปทำแบบธาริต มันนะ ทั้งที่ผมทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผมทำงานตามหน้าที่ของผม”
เมื่อถามว่า มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การทำงานในบทบาทอธิบดีดีเอสไอ ที่ผ่านมา เหมือนจะสนองฝ่ายการเมืองมากจนเกินไป และใครมีอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนท่าทีไปรับใช้
นายธาริต ตอบว่า “ผมเป็นข้าราชการประจำ ผมทำตามหน้าที่ตามคำสั่ง ไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งประเด็นนี้ผมเข้าใจดี เพราะเป็นเรื่องที่มีคนบางกลุ่มพยายามจุดขึ้นมาเพื่อดิสเครดิตผม หากว่าไปทุ่มเทเข้าข้างการเมืองมากไป แต่ถามหน่อยผมเป็นข้าราชการประจำ มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่ง ผมผิดหรือ และคุณไปดูได้เลย หลายคดีที่ผมถูกฟ้องร้อง ศาลก็ยกฟ้องไปแล้ว แต่ก็มีความพยายามอย่างอื่นที่จะมาจัดการผม นี่เป็นสิ่งที่ผมกำลังเจอ จะเอาให้ผิด จะเอาให้ตาย โจมตีครอบครัวผม ทำร้ายวงศ์ตระกูลให้เสียหาย”
นายธาริต ยังระบุว่า “ผมคิดนะ..ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อีกหน่อยดีเอสไอ จะไม่ใครกล้าทำงาน ทั้งที่หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานสำคัญ ตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบคดีที่มีผลกระทบสูงๆ ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอิทธิพล ที่ตำรวจทำไม่ได้ แต่กรณีผม เมื่อทำงานไปแล้ว กลับมาถูกกระทำบแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้าเข้ามาทำงานให้”
อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังระบุย้ำด้วยว่า ตอนนี้ทราบข่าวมาว่า มีการตั้งธงเกิดขึ้นแล้ว เพื่อหาทางจัดการกับผม เพื่อให้ออกจากราชการให้ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวลใจอะไร เพราะมันเป็นเรื่องชะตากรรมที่เราต้องเผชิญ และเรารู้ตัวดีที่สุดว่าทำอะไร ซึ่งถ้าจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่กันแบบนี้ต่อไป ก็แล้วแต่
“แต่ด้วยความเคารพ ผมยืนยันว่าผมเป็นข้าราชการประจคนหนึ่ง ที่ตั้งใจและทุ่มเทงานตามสำคัญอย่างเต็มที่ มาวันนี้ ใครจะเอาผมเป็นเหยื่อ เพื่อกระทบชิงจัดการใครบางกลุ่ม ก็ไม่เป็นไร แต่ผมอยากฝากไว้ว่า เหรียญมันมีสองด้านเสมอ ผู้มีอำนาจต้องมองให้มันดีๆ ทุกด้าน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป กลุ่มข้าราชการที่ไหนจะกล้าทำงานให้ประเทศ ”
“ส่วนตัวผม วันนี้ ถือว่าโชคไม่ดี ก็พร้อมรับชะตากรรม เพราะชีวิตข้าราชการประจำอย่างผม เลือกอะไรไม่ได้มากหนัก สุดท้ายก็ต้องรับสภาพกันไปแบบนี้ ” อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวทิ้งท้าย
หมายเหตุ: ภาพประกอบ ธาริต เพ็งดิษฐ์ จากacnews.net