ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ
"...เมื่อสองปีที่แล้ว(2016)คนไทย(adult) 1%แรก(5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปีนี้(2018) 1%มีเพิ่มเป็น 66.9% รวยขึ้นอื้อเลยครับ …แซงรัสเซียที่ลดจาก78% เหลือแค่57.1%ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกีมาแรงทั้งๆที่ศก.ห่วยแตกแต่คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น54.1% แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก58.4% เหลือแค่เพียง51.5% …แล้วนอกจากสี่ประเทศนี้ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่คนรวย1%มีเกินครึ่ง …โดยประเทศที่ดีที่สุดคือเบลเยี่ยมที่1%มีแค่ 20.1% ตามด้วยออสเตรเลีย22.4%..."
#ไอ๊ย่ะ.....#สองปีที่แล้วแค่ได้ขึ้นโพเดียม(อันดับสาม) #ปีนี้ครองแชมป์โลกไปซะแล่ว
ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกไปแล้ว …ตามข้อมูลของ CS Global Wealth Report 2018 ที่ออกมาเมื่อเดือนตุลา มีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากว่า ถ้านับในด้านความมั่งคั่ง(Wealth)แล้ว ไทยแลนด์แดนสารขัณฑ์ที่ได้อันดับสามในการสำรวจเมื่อสองปีที่แล้ว สามารถแซงทั้งรัสเซีย ทั้งอินเดีย ฉลุยขึ้นป้ายอันดับหนึ่งได้อย่างค่อนข้างห่างด้วยซ้ำ
เมื่อสองปีที่แล้ว(2016)คนไทย(adult) 1%แรก(5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปีนี้(2018) 1%มีเพิ่มเป็น 66.9% รวยขึ้นอื้อเลยครับ …แซงรัสเซียที่ลดจาก78% เหลือแค่57.1%ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกีมาแรงทั้งๆที่ศก.ห่วยแตกแต่คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น54.1% แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก58.4% เหลือแค่เพียง51.5% …แล้วนอกจากสี่ประเทศนี้ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่คนรวย1%มีเกินครึ่ง …โดยประเทศที่ดีที่สุดคือเบลเยี่ยมที่1%มีแค่ 20.1% ตามด้วยออสเตรเลีย22.4% (ดูตาราง40ประเทศด้านล่าง)
ที่รัสเซีย อินเดีย เศรษฐีจนลงก็พอเข้าใจได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนที่ย่ำแย่เป็นตัวฉุด …แต่ตุรกีนี่ก็มีวิกฤติไม่เบา สงสัยคุณเออร์โดกันแกออกนโยบายปกป้องพรรคพวกไว้ได้ดี เลยส่งผ่านผลวิกฤติกระจายให้คนจนได้มากกว่า …อย่างพี่ไทย ที่ตีปี๊ปว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว กำลังเข้าสู่ยุคโชติช่วงใหม่ เห็นตัวเลขนี้ก็คงพอเข้าใจได้ว่าทำไมรากหญ้ายังบ่นอู้ และที่เขาว่าแข็งบน-อ่อนล่างมันเป็นยังไง
พอไปดูรายละเอียดของตาราง(table6.5) ยิ่งอยากเอาตีนก่ายหน้าผากเข้าไปใหญ่ …เพราะคนไทยที่จนสุด10%มีทรัพย์สิน0%(จริงๆถ้ารวมหนี้น่าจะติดลบนะครับ) …ขณะที่ถ้านับ50%(25ล้านผู้ใหญ่)ก็ยังมีแค่ 1.7% …และถ้าเอา70%(35ล้าน) ก็เพิ่มไปเป็นแค่ 5% …ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับเพราะว่าไอ้1%แรก(ห้าแสนคน)มันเอาไปหมด …แต่ที่น่ากังวลก็คือมันสะท้อนว่า คนครึ่งประเทศ เป็นพวก”หาเช้ากินคำ่”หรือไม่ก็”เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม แล้วแถมกำลังจะแก่ก่อนมีเงินออมซะอีกด้วย
ถ้าไปดูตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์GINIด้านความมั่งคั่ง(มาตรวัดการกระจาย ที่ค่าสูงสุด100 หมายถึงคนเดียวเอาไปหมด ถ้า0 แปลว่าทุกคนเท่ากันหมด)ตามtable6.6 ก็ยืนยันว่าประเทศไทยนั้นเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เพราะGINIเราสูงถึง90.2 ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นสถิติโลกที่คงหาคนทำลายได้ยาก
เห็นตัวเลข หลายคนคงจะยังสงสัย ว่าวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ วิธีการประเมินของCredit Suisse น่าเชื่อถือและถูกต้องแค่ไหน หรือหลายคนอาจจะปลอบใจว่า นี่มันวัดละเอียดกันแค่ 40ประเทศ ไอ้ประเทศจนๆในซับซาฮาร่า หรือพวกประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชโดยเฉพาะที่พวกชีคเป็นเจ้าของทุกอย่างมันน่าจะแย่กว่าเรานะ …อย่างรายงานบอกว่าความมั่งคั่งรวมของคนไทยมีแค่ $505billion หรือ 16.5ล้านๆบาท ผมก็คิดว่ายังตกหล่นไปเยอะ เพราะเฉพาะทรัพย์สินทางการเงินรวมในตลาดก็มีขนาด 40ล้านๆบาทแล้ว ไม่รวมอสังหาและทรัพย์สินอื่นๆ ก็หวังว่าที่ตกหล่นน่ะส่วนใหญ่เป็นของคนจนนะครับ (กลัวจะตรงกันข้ามซะละมากกว่า)
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ยืนยันว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เราอาจจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน ทางการเมืองได้ดี แต่ถ้าไม่แก้เรื่องนี้ให้ได้ก็สุ่มเสี่ยงมากครับว่า เสถียรภาพทางสังคมจะมีปัญหา
ที่ยากที่จะกระจาย ก็เพราะว่ามันกระจุกแบบสุดๆนี่แหละครับ ใครคิดว่า”รัฐสวัสดิการ”จะช่วยได้ ก็ต้องระวังแหล่งที่มาของเงินที่จะเอามากระจายด้วยนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่(80%)เขาก็หาได้แทบไม่พออยู่แล้ว ครั้งจะเอาจากพวก1% ก็ต้องฝ่ากระบวนการล็อบบี้อันทรงอิทธิพลของเหล่าเจ้าสัวให้ได้ และต้องระวังเขาหอบทรัพย์หนีออกนอกประเทศกันหมดด้วย บางคนบอกว่าเอาจากงบทหารแล้วกัน ทำอย่างนั้นก็เหมือนอยู่บ้านไม้เก่าๆโทรมๆแล้วยังไม่ยอมจ่ายเงินซื้อประกันไฟอีก …มันเสี่ยงนาครับ
ถามผมว่าอะไรคือคำตอบ …ผมก็ขอนำเสนอว่าให้ใช้หลักการ ทุนนิยมเสรีใหม่+รัฐสวัสดิการ(Neoliberalism+Welfare) นี่แหละครับ สร้างทั้งความเติบโต พร้อมกับการกระจายไปด้วยกัน สังคมนิยม(Socialism)พิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์ก Keynesianกับเศรษศาสตร์พัฒนาการที่นำโดยรัฐก็พาเรามาได้แค่นี้แล้วก็ติดกับมาเป็นสิบปีอย่างที่เห็นน่ะครับ ถ้าดันทุรังกันแบบเดิมๆ แผนยุทธศาสตร์จะกลายเป็นแผนฉุดกระชากชาติไป
รายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องสารภาพว่าผมก็ไม่รู้หมดหรอกครับ แถมการขับเคลื่อนก็ยากเย็น(ก็ไอ้พวก1%มันไม่ยอมง่ายๆนี่ครับ) ผมเองก็พิสูจน์แล้วว่าทำไม่เป็น ทำไม่สำเร็จ …ไม่งั้นป่านนี้ไปลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วครับ
(อ่านเอกสารประกอบ : https://publications.credit-suisse.com/tasks/render/file/index.cfm?fileid=777FDF0E-E060-F608-52DAF97E062CC35B&fbclid=IwAR3UOuQx4WS2up8TL8vm8O9lH2dukdTl5dWor-Ns3JcgBbBj755KYhM_uBw)
ที่มา : เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich