ชีวิต' และ ‘ปาฏิหาริย์’
เราทุกคนเกิดมาจาก ‘ปาฏิหาริย์’ เราทุกคนคือความอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่รอให้ให้สิ่งวิเศษใดเข้ามาจัดการกับโอกาส ‘หนึ่งในล้าน’ ที่เราปรารถนา เพราะตัวเราเองก็เคยทำให้โอกาส ‘หนึ่งในล้าน’ นั้นเกิดขึ้นมาได้แล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง จงเห็นค่าของ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่เรามีอยู่ในตัว และใช้มัน..
คำว่า ‘ปาฏิหาริย์’ มีความหมายที่แปลตรงตัวตามพจนานุกรมคือ ความอัศจรรย์ หรือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ หากว่ากันตามบริบทนี้ เราคงจะนึกถึงการแสดงปาฏิหาริย์ หรืออิทธิฤทธิ์ที่อยู่นอกเหนือจากวิสัยของสามัญมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์
ปาฏิหาริย์ในรูปแบบนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘อิทธิปาฏิหาริย์’ ตัวอย่างความอัศจรรย์ของอิทธิปาฏิหาริย์ก็เช่น การเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นทองคำ การล่องหนหายตัว หรือการเหาะเหินเดินอากาศ ซึ่งปาฏิหาริย์เหล่านี้ย่อมต้องถูกใช้โดยเหล่าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ โดยหากมองตามทัศนะวิสัยของผม ณ วันนี้แล้ว ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ กล่าวคือ อิทธิปาฏิหาริย์นั้นไม่ใช่ ‘ความจริง’ แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
ด้วยความที่ปาฏิหาริย์ในบริบทข้างต้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างห่างไกลจาก ‘ความเป็นมนุษย์สามัญ’ อย่างผมและใครอีกหลายคน คำว่าปาฏิหาริย์จึงถูกนำไปใช้ในเชิงเปรียบเทียบกับสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เช่น “การหายจากโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายนั้นคงต้องพึ่ง ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงอย่างเดียว” หรือ “หากเขายอมที่จะรับรักจากฉันนั่นคงเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ โดยแน่แท้” หรือ....
“การที่บทความนี้จะมียอดแชร์สัก 100 ก็คงเป็นเรื่องของ ‘ปาฏิหาริย์’ เท่านั้นแหละ ฮ่า ฮ่า...”
ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะหวังให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาอันอยู่ไกลเกินเอื้อม โดยให้คำนิยามต่อสิ่งเหล่านั้นว่า ปาฏิหาริย์ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมากที่ปรารถนาอยากจะร่ำรวยแต่ไร้ความพยายามหรือไม่มีศิลปะในการหาเงิน แห่กันไปซื้อหวยเพื่อหวังว่าจะมี ‘ปาฏิหาริย์’ มาช่วยให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่กระนั้นแล้วโอกาสที่ปาฏิหาริย์จะเกิดกลับแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
หากมองคุณค่าของ ‘ชีวิต’ มนุษย์คนหนึ่งอย่างตัวผมหรือคุณ ผ่านภาพรวมหรือแนวคิดแบบรัฐศาสตร์การเมือง เราก็แค่หนึ่งใน 7,640,161,922 ชีวิตบนโลกใบนี้ (ณ วินาทีนี้) หากเกิดมาเพิ่ม 2 คน หรือตายไปสัก 5 คนก็คงจะไม่มีความหมายหรือส่งผลกระทบอะไรกับโลกใบนี้เลย (ตรวจสอบสถิติสากลที่นำทุกอย่างมาเปลี่ยนเป็น ‘ตัวเลข’ แบบ Real time ได้ที่นี่ http://www.worldometers.info/th/)
และหากพูดในสเกลที่ใหญ่กว่านี้ก็คงจะเห็นได้ว่า ‘โลก’ ก็เป็นแค่เพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ อยู่ในขอบเขตุของกาแลกซีทางช้างเผือกซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลายล้านกาแล็กซีของจักรวาลด้วยซ้ำ
ความจริงแล้ว หากดาวโลกของเราเกิดระเบิดแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นมาในตอนนี้ มันก็จะไม่สามารถสร้างการสะทกสะเทือนให้แก่จักรวาลได้เลยแม้แต่น้อย
ถามว่าชีวิตของคนเรามีค่าอย่างไรกับจักรวาลบ้าง ?
ไม่เลย ! ถ้าว่ากันตามตรรกะนี้
หากพระผู้เป็นเจ้ามีอยู่จริง และไม่ว่าพวกท่านจะ ‘เที่ยงธรรม’ เพียงใด ก็คงจะไม่สามารถมองเห็นความสำคัญของหนึ่งในพันล้านชีวิตได้อย่างครบถ้วนเช่นกัน ผู้ที่ได้รับพรปาฏิหาริย์ใด ๆ คงมีอยู่เป็นจำนวนน้อยเท่านั้น ที่เหลือก็จะเป็นเพียงหวังลม ๆ แล้ง ๆ ต่อสิ่งที่เชื่อและคอยภาวนาต่อไป ขอในสิ่งที่เรียกว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ให้กลายมาเป็น ‘ความจริง’ สักวัน
ลองเปลี่ยนมามองอีกมุมบ้างดีกว่า ตามทัศนะของผมแล้ว การมีชีวิตอยู่ในฐานะ ‘มนุษย์’ หรือ ‘ความเป็นมนุษย์’ นั่นคือปาฏิหาริย์แล้ว ลองคิดดูสิ....
การรวมตัวจากเซลล์หลายชนิดจนกลายเป็นเนื้อเยื่อซึ่งรวมตัวกันเป็นอวัยวะ เกิดการทำงานของแต่ละระบบอวัยวะที่ทำให้เกิดการดำรงอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ ที่เดินไปไหนมาไหนได้ กินได้ พูดได้ คิดได้ อ่านเขียนได้ ซึ่งหากโครงสร้างทั้งหมดนี้เกิดการทำงานผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ท่านอาจจะกลายเป็นผู้พิการที่ไม่สามารถพูดได้ มองเห็นได้ หรือเดินได้ เลวร้ายกว่านั้นก็คือตาย แต่ท่านก็ยังเป็นปกติ และสำหรับผู้พิการ อย่างน้อยท่านก็ไม่ตาย ท่านยังคงมีชีวิตอยู่
แล้วโอกาสที่เราจะเกิดมาเป็นเรานั้นมีมากแค่ไหนกัน หากในตอนที่เรายังเป็นอสุจิอยู่แล้วเกิดแพ้ในการแข่งขัน ‘ปฏิสนธิ’ กับเพื่อน ๆ อสุจินับล้านในตอนนั้น คนที่เกิดมาก็จะเป็นเพื่อนอสุจิอีกคนนั่นเอง
และหากจะนิยาม ‘ปาฏิหาริย์’ ว่าคือ ‘หนึ่งในล้าน’ แน่นอนว่าทุกท่านที่กำลังอ่านบทความนี้ รวมถึงท่านที่ไม่ได้อ่าน ทุกท่านเคยเป็นหนึ่งในล้านตั้งแต่ยังไม่คลอดออกมาเลยด้วยซ้ำ ทุกท่านคือ ‘ปาฏิหาริย์’ และทุกท่านก็ไม่มีใครหน้าตาเหมือนกันเลย อย่างมากก็แค่คล้ายคลึง
ผมคือ 'นายสรวง สิทธิสมาน' หนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
ทุกท่านก็คือ ‘ปาฏิหาริย์’ หนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
และหากพูดกันในตรรกะนี้ ทุกชีวิตก็คือ ‘ปาฏิหาริย์’ นั่นแหละ ทุกก้าวที่เราเดินกันอยู่ทุกวันนี้ก็เกิดจากปาฏิหาริย์แห่งชีวิตเช่นกัน เห็นตรงกับผมใช่ไหม
และคำที่ว่า “ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง” แน่นอนว่าจะต้องมีคนผิดหวังมาจากการรอคอยให้มีใครมาส่งมอบ ‘ปาฏิหาริย์’ ให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบในสิ่งที่ต้องการ เขาลืมไปหรือเปล่าว่า เขาเองนั่นแหละคือ "ปาฏิหาริย์ที่มีอยู่จริง" เขาสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งวิเศษใด ๆ
แขนขาและกล้ามเนื้อทุกมัด รวมถึงการทำงานของสมอง การไหลเวียนโลหิต กระดูก และฮอร์โมนส์ต่าง ๆ ในร่างกาย ที่ถึงแม้จะมีปริมาณหรือรูปร่างต่างกันในแต่ละคน แต่โดยรวมแล้วทุกคนมีความเท่าเทียมกันในฐานะ ‘มนุษย์’ ไม่มีใครเหนือกว่าใครในจุดนี้ได้
เราทุกคนเกิดมาจาก ‘ปาฏิหาริย์’ เราทุกคนคือความอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่รอให้ให้สิ่งวิเศษใดเข้ามาจัดการกับโอกาส ‘หนึ่งในล้าน’ ที่เราปรารถนา เพราะตัวเราเองก็เคยทำให้โอกาส ‘หนึ่งในล้าน’ นั้นเกิดขึ้นมาได้แล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง จงเห็นค่าของ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่เรามีอยู่ในตัว และใช้มัน...
ใช้ขาในการวิ่งตามฝัน ใช้มือทั้งสองคว้ามันเอาไว้
สุดท้ายก็อย่าลืมแบ่งปัน !
เพราะตามกฎของธรรมชาติแล้ว ‘ปาฏิหาริย์’ เองก็มีวันดับสูญไป หากการมีอยู่ของสรรพสิ่งใดไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรเอาไว้ให้กับสังคมหรือคนรุ่นหลัง สรรพสิ่งนั้นก็จะดับสูญไปอย่างไร้ประโยชน์ ไร้ซึ่งการจดจำ แต่เมื่อ ‘ปาฏิหาริย์’ ได้สร้างคุณความดีต่อสังคมรุ่นหลัง แม้จะต้องดับสูญ แต่มันก็จะถูกกล่าวขาน กลายเป็นอนุสรณ์ให้คนได้ศึกษาเรียนรู้และเห็นคุณค่าต่อ ‘ปาฏิหาริย์’ ของชีวิตที่กระจายอยู่ทั่วไปบนโลกที่กว้างใหญ่ต่อไป
ที่มาของภาพ http://www.peabodyawards.com/award-profile/nova-the-miracle-of-life