“บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต”
"บูรพาภิวัตน์" พูดอีกอย่างก็คือจีนกับอินเดียจะผงาดขึ้น คือเอเชียกำลังจะรวยขึ้น ซึ่งทั้งจีนและอินเดียนั้นใกล้ไทยทั้งคู่ อินเดียนั้นใกล้ไทยในทางทะเล แต่จีนใกล้กับไทยทางบกด้วย คือใกล้ชายแดนทางเหนือของเรา
ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊คส่วนตัว เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas เรื่อง “บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต”
----------
สองเดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสบรรยายให้ครูแนะแนวจากทั่วประเทศกว่าร้อยคน จัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตพัทยา โดยมหาวิทยาลัยรังสิต มีสาระที่ช่วยเสริมเรื่อง "ที่ตั้งของประเทศไทย" ได้ดังนี้
ครูอาจารย์ทั้งหลายมักจะต้องก้มหน้าทำงานในหน้าที่ จนไม่มีเวลาติดตามความคืบหน้าเปลี่ยนแปลงของโลก ของภูมิภาคและของประเทศไปบ้าง จึงขอเล่าอะไรให้ฟัง เผื่อจะนำไปเผยแพร่ต่อ
สถานการณ์โลกที่น่าจับตาขณะนี้มีอะไรบ้าง?
หนึ่ง จีนมี ยุทธศาสตร์ OBOR ( ย่อมาจาก One Belt One Road) เพื่อเชื่อมเอเชียกับยุโรปในทางบก และเชื่อมทะเลจีนกับปาซิฟิกทางตะวันตกเข้ากับมหาสมุทรอินเดียต่อไปจนถึงทะเลเมดิเตอเรเนียและชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกาด้วย รถไฟความเร็วสูงและทางหลวงจากปักกิ่งจะวิ่งผ่านซินเกียง เข้าเอเชียกลาง รัสเซีย คอเคซัส หรือตุรกี ผ่านยุโรปตะวันออก ไปถึงยุโรปตะวันตกถึงลอนดอน ถึงเบอร์ลิน
โดยทั่วไป จีนและสหรัฐจะมีบทบาททางการเมือง-การทหาร-เศรษฐกิจในไทย และในอาเซียนสูงกว่าญี่ปุ่นและยุโรป ในทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังสำคัญมากต่อเรา ในทางการต่างประเทศและความมั่นคงสหรัฐและอาเซียนจะยังสำคัญมาก แต่ในทางธุรกิจและในทางเศรษฐกิจ จีนจะสำคัญกว่าใคร ๆ
ยุทธศาสตร์หลักทางการต่างประเทศของจีนคือ “One Belt One Road-หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”ซึ่งหมายถึง จะทำให้เกิดเส้นทางสายไหมทางบก และทางทะเล เชื่อมยุโรปเอเชียและแอฟริกาเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดที่จัดว่าใหญ่มหึมา ทะเยอทะยาน--ในทางบวก ถือเป็นยุทธศาสตร์ระดับโลก
ทางหลวงและเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของจีน นอกจากจะเชื่อมด้านตะวันออกและตะวันตกของเอเชียเข้าด้วยกันแล้ว ยังจะเชื่อมเอเชียตะวันออกเข้ากับเอเชียอาคเนย์ จากคุนหมิงและหนานหนิงผ่านเวียดนามลาวพม่าเข้าไทยลงไปตามภาคใต้ของเราเข้าสู่มาเลเซีย สิงคโปร์ และต่อไปได้จนถึงสุมาตราและชะวาของอินโดนีเซียทีเดียว
สอง สหรัฐเริ่มจะปรับสมดุลย์ด้านการต่างประเทศ (ที่เรียกว่า Rebalancing หรือ Pivoting to Asia ) ทุ่มเทความสนใจและถ่ายโอนน้ำหนักมายังเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก เอเชียอาคเนย์ และเอเชียใต้ มากขึ้น
จากเดิมที่สหรัฐได้ให้ความสำคัญและไปวุ่นวายกับสงครามตะวันออกกลาง การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน การสิ้นสุดของสงครามเย็น เหตุการณ์ 9/11 ที่ไม่คาดฝัน เข้าสู่สงครามอ่าวสงครามอัฟกานิสถาน และสงครามอิรัก และสุดท้ายขณะนี้ยังมี ISIS และโอกาสที่จะไถลเข้าสู่อีกสองสงคราม หนึ่งในยูเครนและสองในซีเรีย
สหรัฐอเมริกาขณะนี้พยายามจะกลับมาสู่เอเชีย ที่จริงสหรัฐ"ทิ้ง"ไทยและเอเชียอาคเนย์ไปหลังจาก"พ่ายแพ้" ในสงครามเวียดนาม แต่จะต้องกลับมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน จีนเติบโตขึ้นทุกวันในแบบ "ก้าวกระโดด" จนขนาดของเศรษฐกิจนั้นใหญ่เป็นรองแต่สหรัฐเท่านั้นเอง เราจะต้องรักษาดุลย์ในความสัมพันธ์ของเรากับจีนและสหรัฐให้ดี
สาม เกิดข้อขัดแย้งในทะเลจีนใต้ - ไทยอาจเป็นตัวกลางได้หรือเป็นแค่รักษาความเป็นกลางให้ได้
จีนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทางทะเล หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้หลายจุด กับไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น จีนได้พยายามให้อาเซียน โดยเฉพาะไทย กัมพูชา และลาววางตัวเป็นกลาง เพื่อให้เกิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศคู่ขัดแย้งโดยตรงเท่านั้น ด้านสหรัฐอเมริกาก็พยายามใช้เวียดนามและฟิลิปปินส์มาคานอำนาจจีนในเอเชียอาคเนย์
ส่วนไทยนั้นอยู่ตรงกลาง...ระหว่างจีนกับอาเซียน และจีนกับอเมริกา
ข้อสังเกตคือ ตอนสหรัฐแบ่งโลกกับโซเวียตนั้น เรียกว่า เป็นศัตรูกันเลย เป็นสงครามเย็นเต็มรูปแบบ แต่สหรัฐกับจีนนั้นเวลานี้ก็ยังค้าขายกันอยู่ ลงทุนกันอยู่ มหาศาลเสียด้วย ยังคงสัมพันธ์กันอยู่ แต่ก็แข่งขันกันรุนแรง ต่อสู้ผ่านการแผ่อิทธิพลเหนือประเทศในเอเชียเราด้วย ฉะนั้นก็อย่ารีบตื่นตระหนกว่าจะมีสงครามหรือความขัดแย้งทางการทหารอย่างหนักระหว่างจีนกับอเมริกา และเราจะตกอยู่ในวังวนความขัดแย้งที่แก้ไขไม่ได้เลยของสองมหาอำนาจโลก
สี่ เวลานี้ เกิดกระแส "บูรพาภิวัตน์ " ขึ้นมา คู่กันไปกับ "โลกาภิวัตน์" หรือ พูดอีกอย่างว่า "โลกาภิวัตน์" นั้นทำท่าจะไม่เหมือนเดิม แต่จะเป็น "บูรพาภิวัตน์" ไปด้วย เอเชียและซีกตะวันออกของโลก มีเค้าที่จะเป็น "อนาคต" ของโลกมากขึ้น คงไม่ถึงขั้น "แทนที่" ตะวันตกเสียสิ้นเชิง แต่น่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับตะวันตกได้
"บูรพาภิวัตน์" พูดอีกอย่างก็คือจีนกับอินเดียจะผงาดขึ้น คือเอเชียกำลังจะรวยขึ้น ซึ่งทั้งจีนและอินเดียนั้นใกล้ไทยทั้งคู่ อินเดียนั้นใกล้ไทยในทางทะเล แต่จีนใกล้กับไทยทางบกด้วย คือใกล้ชายแดนทางเหนือของเรา
นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียตอนนี้มี 3 ล้าน แต่นักท่องเที่ยวจากจีนมีถึง 10 ล้านคน ไปไหนก็จะเจอแต่พี่น้องจีนมาเที่ยว นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักจ่ายเงินตัวยง คนจีนสนใจเครื่องสำอางของ 2 ชาติ คือของเกาหลีและไทย ประชากรหญิงจีนมี 700 ล้านคน คนจีนอยากสวยอยากงามมากขึ้นเรื่อยๆ สักแค่สิบเปอร์เซนต์ของสตรีจีนใช้ ย่อมจะต้องหมายถึง โอกาสทองทางธุรกิจของเครื่องสำอางไทยแน่นอน
แล้วประเทศไทย... เรามีอะไร ?
หนึ่ง เราเป็นประเทศที่รวยทรัพยากร ไม่ได้มีแค่ข้าวหรือยางพารา วารสารระดับโลก "เนชันแนลจีโอกราฟิก" บอกว่า ป่าประเทศไทยเป็นป่าชั้นดีไม่แพ้ป่าอเมซอน มีพื้นที่สงวนชีวมณฑลถึง 4 แห่ง มีป่าชายเลนที่ดีที่สุดในโลกที่ระนอง มีห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นป่าที่มีสัตว์อุดมสมบูรณ์อันดับต้นๆของโลก สัตว์เดินข้ามประเทศมาจากจีน พม่า ลาวเขมรอินเดียได้ด้วย เช่นเดียวกับที่เขาใหญ่ ก็มีสัตว์ป่าข้ามมาจากกัมพูชาได้ด้วย
เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของผู้คนและวัฒนธรรมในอาเซียนหรือในบริเวณจีน-อาเซียน-อินเดียเท่านั้น น่าทึ่งไหมครับ ถ้าจะบอกว่าไทยยังเป็นศูนย์รวมสัตว์ป่าและเป็นที่บ่มเพาะเลี้ยงดูพืชพรรณธรรมชาติให้โลกอีกด้วย ทราบไหมครับว่าในแง่ความหลากหลายอุดมทางชีวภาพนั้น ปรากฎว่ากว่า 10 เปอร์เซนต์ของสปีชี (species) ของสัตว์โลกนั้นอยู่ในป่าของไทยเอง
ป่าเหล่านี้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวระดับ high-end ราคาแพง นักท่องเที่ยวสีเขียวมีกำลังจ่ายมาก ถ้าทำได้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แล้วรายได้เหล่านี้ จะถูกนำกลับมาพัฒนาและอนุรักษ์ป่าให้เป็นป่าชั้นหนึ่งของโลกได้
สอง เรามีสองมหาสมุทร ซ้ายมือของคาบสมุทรภาคใต้คือมหาสมุทรอินเดีย ส่วนขวามือคือมหาสมุทรปาซิฟิก รายละเอียดจะเว้นไม่พูด เพียงแต่ย้ำว่าไทยมีศักยภาพเป็นมหาอำนาจทางทะเลด้วย ฝากไว้ให้คนรุ่นหลังคิดต่อไป
ด้านการศึกษา เด็กของเราควรรู้เรื่องเอเชียมากขึ้น และเด็กทางเหนือควรรู้ภาษาจีนและพม่าจนถึงอ่านเขียนได้เด็กอีสานควรพูดอ่านเขียนลาวและเวียดนามได้ ทางอีสานใต้ควรพูดเขมรได้ ส่วนทางใต้ควรพูดและอ่านเขียนมลายูให้ได้ เป็นต้น เราต้องเตรียมเด็กของเราให้ข้ามไปทำงานในลาว พม่า เขมร เวียดนาม จีน ด้วย ประเด็นอยู่ตรงนี้ อย่าคืดการศึกษาเฉพาะที่อยู่ใน"ขวาน" ของไทย ต้องออกจาก "ขวาน" ด้วย และต้องรู้จักทะเลและมหาสมุทรของเราด้วย
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญ ผมไม่เถียง แต่... ภาษาเพื่อนบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ที่สำคัญตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้ "บูม" อยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอีก แต่ "บูม" อยู่แถวบ้านเรา คือ ทั้งในเอเชียและอาเซียน ฉะนั้น ต้องยกระดับการเรียนการสอนภาษาของเพื่อนบ้านเราเองด้วย
สถานการณ์โลกสมัยใหม่ ที่กล่าวมาเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ตอนสงครามเวียดนาม และยุคฝรั่งเที่ยวล่าอาณานิคมนั้น เราเป็น "ด่านหน้า" รับภยันตราย รับศึกสงคราม แต่ยุคนี้ เราเป็นด่านหน้าเช่นกัน แต่เป็นด่านหน้ารับเงิน รับความเจริญ รับการท่องเที่ยว รับการเป็นศูนย์ลอจิสติกส์ของอาเซียน ของจีน-อินเดีย-อาเซียน ฉะนั้น จะต้องเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนกรอบคิดครับ และนี่ก็คือประเด็นที่อยากเสนอ
ห้า เวลานี้ เราไม่ใช่ประเทศ"ชนบท" อีกแล้ว เรามีหลายเมืองที่เรียกว่าเป็น "มหานครหรือนครของโลก" ไปแล้ว เมืองอันดับ 1 ในเอเชีย-ปาซิฟิกในแง่มีผู้มาเยือนจากโลกมากที่สุดนั้นคือ กรุงเทพฯ ครับ อันดับ 9 ก็คือ ภูเก็ต อันดับ 13 คือพัทยา เป็นต้นกรุงเทพฯ ที่เคยรังเกียจว่าแออัดรถติดสกปรก ที่เคยจำได้แต่เพียงว่าน้ำท่วม อากาศแย่ แต่เร็วๆนี้ พออ่านผลสำรวจผู้มาเยือนปรากฏว่า กทม ชนะ ครับ ได้รับ "ความนิยม" เหนือกว่าปารีส โตเกียว ปักกิ่ง สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะฉะนั้น เรา "ไม่ธรรมดา" เสียแล้ว แต่เราไม่รู้ตัว เราเอาแต่ "วิพากษ์" และ "ดูเบา" บ้านเมืองเรามานานเหลือเกิน นานเกินไปหรือยังครับ
ด้านการศึกษาของเรา จึงต้องขยับรับความจริงใหม่อันนี้ ต้องทำให้ไทยยิ่งสอดคล้องกับโลก กับบูรพาภิวัตน์ ทั้งนี่เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการด้วย อาจต้องยอมรับก่อนเลยว่า คนไทยนั้นโดยทั่วไปไม่ได้เก่งเรื่องศาสตร์แข็ง แต่เก่งมากในเรื่องศาสตร์อ่อน เช่น ศิลปะ บริการ ร้องเพลง
เราต้องสร้าง “หลั่นล้า... อีโคโนมี” ชิวๆ สนุกๆ ไม่ทุกข์ไม่โศก เราต้องใช้เรื่อง “หลั่นล้า” ให้เป็นเงินทอง เป็นสัมมาชีพให้ได้
เราต้องจัดการศึกษาด้าน"หลั่นล้า"ให้มากขึ้น สอนให้เป็น เด็กไทยนั้นขนาดสอนแต่เรื่องวิชาการ ความ "หลั่นล้า" ของพวกเขายังโดดเด่นออกมาให้เห็นเสมอ
“ปลาต้องอยู่ในน้ำ... มันถึงจะเป็นอัจฉริยะ อย่าเอามันมาปีนต้นไม้” ใครคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ การศึกษาไทยก็เช่นกัน เราได้ยัดเยียดในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเราให้เด็กเราหรือเปล่า? แค่ชวนคิดนะครับ เอาไปคิดกันต่อก็แล้วกัน แต่การศึกษาเพื่อ "หลั่นล้าอีโคโนมี" นั้น ต้องคิดเองสร้างเอง ลอกจากฝรั่งไม่ได้หรือได้น้อย การศึกษาฝรั่งที่เรารับมานั้น หัวใจของมันคือการปัอนคนให้กับเศรษฐกิจและสังคมอุตสาหกรรม ไม่ใช่ "หลั่นล้าอีโคโนมี"
โลกเราเข้าไปสู่ ยุคที่เรียกว่า "ขายประสบการณ์และความอยู่ดีกินดี" หรือ Experience Economy แล้ว ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า ขายแค่สินค้า แต่ซื้อขายประสบการณ์ ซื้อขายความพึงพอใจ ฉะนั้น อาชีพที่เคยดูเบาว่าแค่ "เต้นกินรำกิน" เอาแต่เล่น ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า "หลั่นล้า" พวกนี้แหละ จะกลายเป็นเงิน
เราต้องมองให้เห็นโอกาส ต่อยอดจากโอกาส ไม่ใช่เห็นแต่ปัญหา ถ้าเห็นโอกาส จะไปไกลกว่า ทีนี้จะเห็นโอกาสได้ ก็ต้องมองโลก มองประเทศในทางบวก เป็นหลัก ครูอาจารย์ต้องเห็นก่อน ลูกศิษย์จะได้มองเห็นตาม ผู้นำก็เช่นกันทุกชั้นทุกระดับต้องเห็นก่อน ผู้ตามหรือทีมจึงจะเห็นตาม
ถ้าเห็นแต่ปัญหา โดยไม่รู้ตัว เราก็จะถูกพันธนาการไว้ด้วยปัญหา เป็นการมองโลกในแง่ร้าย ไม่ใช่มองโลกอย่างสมจริงและควรค่ากับความภูมิใจ เพราะความจริงในเวลานี้ด้านหลักของมันคือ"โอกาส"
จะทำอะไรมันขึ้นอยู่กับวิธีคิดด้วยครับไม่ใช่แค่พอใจว่ามีข้อมูลหรือเปล่า พอหรือเปล่า อย่างเรื่องนักท่องเที่ยวจีนก็คิดได้หลายแบบ จะคิดว่า “เขาเสียงดัง แย่งกันกิน” ก็ได้ หรือจะคิดว่า“เขามาช่วยเรา เอาเงินมาให้คนของเราและประเทศของเรา” ก็ได้ จะมองแบบไหนดี
อย่ามองจีนและสหรัฐ ว่าเขายิ่งใหญ่ น่ากลัว แล้วเอาแต่หนี หรืออยากปิดประเทศ แต่ให้มองว่าเขาเป็น "ยักษ์ใหญ่ " แต่เป็น "เพื่อน" กับเราก็ได้ อย่าลืมว่าสิงคโปร์นั้น"เล็กจิ๊ดจิ๋ว" เมื่อเทียบกับเรา แต่เขายังเอาประโยชน์จากทั้งจีนและสหรัฐได้อย่างสบายมาก
ในยุคที่ความรุ่งเรืองมีแนวโน้มย้ายมาทางเอเชียและทางตะวันออกของโลกนั้น เราต้อง "ใจใหญ่" และกล้า "คิดใหญ่" มากขึ้น ต้องฝึกให้คนรุ่นใหม่กล้าและเก่งมากขึ้น ส่วนคนรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยก็คิดและทำเพื่อเอาประโยชน์จากบูรพาภิวัตน์ได้
คนส่วนน้อย--ไม่น้อยเท่าไร ต้องขอย้ำ-- ที่ท้อแท้เหนื่อยหน่ายกับปัญหาภายในประเทศ แปลกแยกกับรัฐบาล กับชนชั้นนำ ก็ต้องค่อยๆ ชักจูง หรือเชิญชวนให้เขาเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโดยอาศัยภูมิศาสตร์ที่ดียิ่งนี้ให้ได้ ค่อยๆ เปลี่ยน และวันหนึ่งเมื่อทุกฝ่ายได้มีบทบาทในการนำพาประเทศทั่วถึงขึ้น เขาย่อมจะระลึกได้ว่ามีอะไรดีๆ อีกมารอประเทศไทยอยู่