เหตุเกิดที่วัดกัลยาณ์ "คุณ" ทุบเพื่อทำลายประวัติศาสตร์หรือ?
"...ผมคิดว่ากรณีที่เกิดขึ้นในวัดกัลยาณ์เป็นตัวอย่างชัดเจนของความผุกร่อนของคณะสงฆ์ที่สืบทอดพุทธศาสนาในประเทศไทย รวมถึงฆราวาสที่เกี่ยวข้อง เพราะถ้าสืบกันให้ลึกถึงที่มาที่ไปก็จะเห็นระบบเลวร้ายที่เกาะกินศาสนาอยู่ในขณะนี้.."
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 ที่ชุมชนวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กทม. เจ้าหน้าที่ได้เริ่มทำการไล่รื้อบ้านของนายชัยสิทธิ์ กิตติวณิชพันธุ์ ประธานชุมชนกัลยาณมิตร โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารราว 30 คน รวมถึงชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มลูกศิษย์เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารเฝ้ารอบบริเวณบ้านที่ถูกไล่รื้อ
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการทุบบางส่วนของบ้าน และยึดสิ่งของภายในบ้านจำนวนหนึ่ง ไม่พบนายชัยสิทธิ์ภายในบ้าน
ขณะที่บรรยากาศภายในชุมชม พบว่ามีชาวบ้านต่างแสดงความกังวลต่อการไล่รื้อ และวิพากษ์วิจารณ์เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร ที่สำคัญคือไม่มีการให้ข้อมูลที่แน่ชัดจากเจ้าหน้าที่ เมื่อสอบถามไปทางโทรศัพท์ นายชัยสิทธิ์กล่าวว่าตนเองเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงต้องรีบออกจากพื้นที่ มี 54 ครัวเรือน จาก 200 กว่าครัวเรือนที่จะถูกไล่รื้อ
“ชุมชนที่นี่อยู่กันมานาน ที่ผ่านมาเจ้าอาวาสทั้ง 9 รูปและชาวบ้านต่างอยู่กันด้วยดีเสมอมา มีเพียงเจ้าอาวาสปัจจุบันเท่านั้นที่เริ่มมีปัญหากับชาวบ้านตั้งแต่มีการทุบทำลายโบราณสถานเพราะชาวบ้านทนไม่ได้และร้องเรียนไปยังกรมศิลปากร จนเดี๋ยวนี้เกิดการฟ้องร้องกันอยู่ในศาล” นายชัยสิทธิ กล่าว
ทั้งนี้นายชัยสิทธิ์ถือว่าเป็นแกนนำชาวบ้านคนสำคัญในการร้องเรียนกรณีที่เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรทุบทำลายโบราณสถานและโบราณวัตถุกว่า 20 รายการ และได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2546 นายนพเก้า ศรีตะสุทธิพันธุ์ ชาวบ้านในชุมชนเล่าว่าไม่มีการประกาศคนแจ้งมาว่าจะมีการมาไล่รื้อวันนี้ แต่รู้ข้อมูลจากการบอกเล่าต่อๆ มา เมื่อชาวบ้านได้เห็นการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่วันนี้ ยิ่งทำให้เกิดความกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่ผ่านมา ทางเจ้าอาวาสไม่เคยลงมาพูดคุยกับชาวบ้าน แต่กลับมีการทำลายโบราณสถานหลายจุดในบริเวณ รวมทั้งมีการอ้างว่าจะไล่รื้อที่ชาวบ้านเพื่อเอาไปทำอุทยานประวัติศาสตร์ โดยที่ไม่มีการชี้แจงว่าจะทำอย่างไร
“ชุมชนที่นี่มีอายุเป็นร้อยปี นี่คือประวัติศาสตร์ ไม่เข้าใจว่าจะทุบมันเพื่อทำประวัติศาสตร์ได้อย่างไร” นายนพเก้า กล่าว
นายเฉลิมศักดิ์ จุลสุวรรณ ชาวบ้านในชุมชนกัลยาณมิตรเล่าว่า แต่ก่อนตนและชาวบ้านหลายคนเป็นเด็กวัด กินข้าวจากบาตรพระ เวลาหิวก็เข้ากุฏิพระไปกินข้าว เด็กๆจะเล่นรอบๆอาคารเก่า พอเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีการทำลายโบราณสถานและอาคารเก่าหลายส่วน รวมทั้งตัดต้นก้ามปูอายุกว่าร้อยปีมาทำลานจอดรถ
“ยายของผมเป็นคนช่วยสร้างศาลาการเปรียญ ซึ่งเป็นที่ทำกิจกรรมของชาวบ้าน เป็นที่พบปะ พอเจ้าอาวาสมา ท่านก็สั่งปิดศาลาการเปรียญ ประเพณีที่ชาวบ้านทำร่วมกับวัดก็ค่อยๆหายไปจนไม่เหลือ” นายเฉลิมศักดิ์กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามกลับไปทางวัด ได้คำตอบว่าการไล่รื้อวันนี้ทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยกรมบังคับคดีได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่งธนบุรี ซึ่งตัดสินให้ทางวัดชนะคดีในชั้นศาลฎีกาเมื่อปลายปีที่แล้ว ทางวัดกล่าวหาว่าบ้านของชาวบ้านบดบังทัศนียภาพของวัด การไล่รื้อนั้นเพียงเพื่อทำให้ทัศนียภาพดีขึ้น ไม่ได้มีแผนจะสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ทั้งนี้กรณีข้อพิพาทระหว่างวัดและชุมชนเริ่มขึ้นเมื่อปี 2546 หลังจากที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบันเข้ารับตำแหน่ง และได้ยกเลิกสัญญาณเช่าที่ดินของชาวบ้านในปี 2549 พร้อมเสนอค่าชดเชยให้ชาวบ้าน 3,000 บาทต่อหลัง ชาวบ้านจึงไม่ยอมย้ายออกจนนำมาสู่การฟ้องคดีในศาล
---------------
นอกจากตำรวจ-ทหารแล้ว วันนี้(9กันยายน 2558)ยังมีชายฉกรรจ์กล่มหนึ่งที่อ้างตัวเป็นลูกศิษย์เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เข้ารื้อทุบทำลายบ้านประธานชุมชนวัดกัลยาณ์
เป็นเรื่องเศร้าจริงๆครับ ใครจะคาดคิด "เรามาถึงจุดนี้ได้งัย" วันที่แปรปรวนถึงขนาดที่เจ้าอาวาสวัดฟ้องร้องชาวบ้าน ทั้งๆที่เคยอยู่กันอย่างเกื้อหนุนกันมานับร้อยๆปี
ใครจะคิดว่าสังคมไทยที่เคยมีวัดเป็นที่พึ่งเพราะร่มเย็น วันนี้กลับกลายเป็นร้อนสุดๆถึงขนาดฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้านที่เคยใส่บาตรเพียงเพราะต้องการเอาที่ดินไปสร้างมูลค่าเพิ่ม
ผมคิดว่ากรณีที่เกิดขึ้นในวัดกัลยาณ์เป็นตัวอย่างชัดเจนของความผุกร่อนของคณะสงฆ์ที่สืบทอดพุทธศาสนาในประเทศไทย รวมถึงฆราวาสที่เกี่ยวข้อง เพราะถ้าสืบกันให้ลึกถึงที่มาที่ไปก็จะเห็นระบบเลวร้ายที่เกาะกินศาสนาอยู่ในขณะนี้
กรณีที่เกิดขึ้น ณ วัดกัลยาณ์ จริงๆแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเหตุของความเลวร้ายคืออะไร เพียงแต่ความอ่อนแอในพุทธศาสนาของบ้านเรา ทำให้ไม่สามารถกำจัดเชื้อร้ายออกไปได้
หมายเหตุ เรื่องและภาพประกอบจาก http://transbordernews.in.th/home/?p=9781 และ เฟซบุ๊ก Paskorn Jumlongrach