- Home
- Isranews
- เวทีทัศน์
- ว่าด้วยข่าว "ว่าที่ ส.ส.ใต้พันก่อการร้าย" กับบทพิสูจน์การเมืองนำการทหารของ กอ.รมน.
ว่าด้วยข่าว "ว่าที่ ส.ส.ใต้พันก่อการร้าย" กับบทพิสูจน์การเมืองนำการทหารของ กอ.รมน.
สืบเนื่องจากข่าวร้อน “ว่าที่ ส.ส.ใต้พันก่อการร้าย” ที่อ้างข้อมูลของ กอ.รมน. ตีพิมพ์ในสื่อสารมวลชนกระแสหลัก ทำให้ อนุกูล อาแวปูเตะ ทนายความคนดังในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นประธานคณะทำงานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานี ต้องสะบัดปากกาเขียนบทความเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ “ผู้ถูกกล่าวหา” โดยยกกรณีตัวอย่างเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อกล่าวหากลายเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” และหนีไม่พ้น “ผลประโยชน์ทางการเมือง”
บทพิสูจน์การเมืองนำการทหาร
จากข้อมูลของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน) ที่วิเคราะห์บทบาทผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส โดยมีการระบุพฤติกรรมผู้สมัครที่เคยถูกขึ้นบัญชีดำของทางการ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ นับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 (อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส) เมื่อปี 2547 และมีบางคนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายและยาเสพติด (อ้างจากข่าว “ว่าที่ ส.ส.ใต้พันก่อการร้าย” หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน 2554)
ข้อมูลดังกล่าวนอกจากทำให้สังคมตื่นตระหนกตกใจแล้ว ยังสร้างความกังขาให้กับคนในพื้นที่ เกิดคำถามมากมายตามมาว่ากระบวนการของการต่อสู้ในทางการเมืองของนักการเมืองและพรรคการเมืองมุสลิมซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่มก่อความไม่สงบหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนนั้น มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญ และเป็นโจทย์หนึ่งในการที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในสามจังหวัด ประชาชนคาดหวังต่อนักการเมืองให้มีส่วนในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบซึ่งเกิดขึ้นมายาวนาน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 จนถึงปัจจุบันมีการเลือกตั้งแล้ว 2 ครั้ง (ไม่นับการเลือกตั้งที่มีเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อปี 2549) คือ การเลือกตั้งทั่วไปภายหลังจากที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งครบวาระ โดยมีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 6 ก.พ.2548 หลังจากนั้นก็มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 คือ การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 ในห้วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ย้อนไปการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ในขณะนั้น ส.ส.มุสลิมในนามกลุ่มวาดะห์ ซึ่งนำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สังกัดพรรคไทยรักไทยในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ถูกรุมเร้าอย่างหนักโดยมรสุมทางการเมือง เพราะเป็นการเลือกตั้งภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน เหตุการณ์ฆ่าในมัสยิดกรือเซะ และเหตุการณ์ชุมนุมที่ตากใบ
นอกจากปัญหารุมเร้าจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ในช่วงนั้นสิ่งที่ถูกท้าทายอย่างหนักของกลุ่มวาดะห์ก็คือ มีข้อมูลว่านักการเมืองที่อยู่ในกลุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ภายหลังจากที่กำนันโต๊ะเด็ง (นายอนุพงศ์ พันธชยางกูร อดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส) ถูกจับกุมในคดีปล้นปืน แล้วมีการออกแถลงข่าวทางสื่อมวลชนว่า มีนักการเมืองในกลุ่มวาดะห์เป็นผู้ร่วมวางแผนในการปล้นปืน โดยนำไปชี้จุดที่เป็นสถานที่ใช้ประชุม และพาดพิงถึงนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นข่าวเกรียวกราว
แต่สุดท้ายกำนันโต๊ะเด็งออกมายอมรับว่า เหตุที่ตนเองต้องกระทำเพราะถูกซ้อมทรมานและบีบบังคับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ต่อมากำนันโต๊ะเด็งได้กลับคำให้การในชั้นศาล จนเป็นคดีความมีการฟ้องร้องกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ในขณะนี้
จากผลพวงดังกล่าว นำไปสู่การดำเนินคดีกับ นายนัจมุดดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส (ขณะนั้นสังกัดพรรคไทยรักไทย) พร้อมพวกอีก 50 กว่าคน ในข้อหาร่วมกันปล้นปืน เป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน โดยบุคคลที่ถูกดำเนินคดีล้วนแต่เป็นคนใกล้ชิด เป็นหัวคะแนนและผู้สนับสนุนของนายนัจมุดดีนทั้งสิ้น
แต่โชคดีที่พนักงานอัยการโดยสำนักงานอัยการสูงสุดในขณะนั้น ได้ใช้หลักเมตตาธรรม จึงมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาจำนวนหลายคน และได้ปล่อยตัวไป แต่สำหรับ นายนัจมุดดีน อูมา ถูกดำเนินคดีตกเป็นจำเลยที่ศาลอาญา และมีการต่อสู้คดีจนศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในที่สุด
จากการถูกกล่าวหาของนัจมุดดีนดังกล่าว ทำให้สังคมเข้าใจว่าเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีนักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยมีแนวร่วมในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ และเข้าใจต่อไปอีกว่ากลุ่มขบวนการดังกล่าวมีชาวบ้านเป็นแนวร่วมจำนวนมาก มีนักการเมืองเป็นผู้วางแผนและบงการอยู่เบื้องหลัง คนทั่วประเทศเข้าใจว่ามุสลิมในสามจังหวัดคือกลุ่มขบวนการที่สนับสนุนการก่อการร้าย ขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยมีนักการเมืองเป็นแกนนำ
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ออกมา ปรากฏว่าคนที่ถูกระบุว่าเป็นแกนนำของขบวนการกลับสอบตกหมด พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ในสามจังหวัดยกทีมดัง (9 ที่นั่งจาก 10 ที่นั่ง) เช่นคลื่นสึนามิโหมกระหน่ำ
จากข้อเท็จจริงในอดีต เมื่อนำมาพิจารณากับข้อมูลของ กอรมน.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่ข้อมูลของ กอรมน.ในครั้งนี้ หากไม่เปิดเผยภาพให้ชัดเจนก็จะยิ่งสร้างความสับสนกับประชาชนและบรรดานักการเมือง รวมทั้งผู้สนับสนุนนักการเมืองเหล่านั้น อย่าลืมว่าการวิเคราะห์ข้อมูลของ กอรมน.ย่อมมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของนักการเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และในขณะเดียวกันย่อมทำให้พรรคการเมืองบางพรรคได้ประโยชน์จากผลการวิเคราะห์ดังกล่าว และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะเข้าใจว่าปัญหาในสามจังหวัดแท้จริงแล้วคือ “ปัญหาการเมือง” นอกจากปัญหาขบวนการยาเสพติด และน้ำมันเถื่อนดังที่มีการเปิดเผยโดยแม่ทัพภาคที่ 4 มาแล้ว
หากฝ่ายความมั่นคง หรือ กอรมน.ต้องการใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” จริง ต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนว่า กระบวนการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในทางการเมืองโดยการปลุกจิตวิญญานและอุดมการณ์ของการสำนึกความเป็นมลายูของคนในสามจังหวัด ซึ่งเป็นเส้นที่บางมากๆ กับอุดมการณ์ของการต่อสู้เพื่อแแบ่งแยกดินแดนนั้น มีเส้นแบ่งอย่างไร เพราะข้อมูลของ กอรมน.ย่อมทำให้เกิดความไม่มั่นใจของประชาชนในสามจังหวัดว่าจะต้องวางตัวอย่างไรในการเป็นหัวคะแนนหรือสนับสนุนผู้สมัครของตนเอง
กระบวนการเลือกตั้งทางการเมืองควรเป็นวิธีหนึ่งที่มีส่วนในการส่งเสริมให้คนในสามจังหวัดเปิดพื้นที่ของการต่อสู้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ดีกว่าเลือกต่อสู้นอกระบบ มิเช่นนั้นก็จะเรียกร้องรูปแบบการปกครองอื่น ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายความมั่นคงอีกเช่นกัน เพราะหากคนระดับนักการเมืองยังต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาความมั่นคงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้แล้ว ประชาชนตาดำๆ จะเหลืออะไร และต่อไปก็จะมีการให้ข้อมูลกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
สุดท้ายแล้วคดีความมั่นคงก็จะไหลเข้าสู่ศาล สร้างความเดือดร้อนให้กับคนมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : อนุกูล อาแวปูเตะ เป็นประธานคณะทำงานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดปัตตานี