คอลัมน์ ในวงเล็บ : โต้ง ร้องแบะๆ

(กิตติรัตน์ ณ ระนอง - ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชน)
ปัญหา “เงินบาทแข็งค่า” ที่คาราคาซังมา 3-4 เดือน เป็นสิ่งที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยังแก้ไม่ตก ทั้งที่ทุกหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเห็นพ้องให้ “ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ลงร้อยละ 1 เพื่อลดแรงจูงใจที่ไหลเข้ามาลงทุนในตราสารทางการเงิน
ทั้งขอร้อง-ทั้งข่มขู่ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” สารพัด แต่ “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าธปท. กลับยืนยันไม่ลดดอกเบี้ย เพราะเห็นว่าอัตราร้อยละ 2.75 เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจของไทยดีแล้ว
เป็นผลให้ “บิ๊กโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และรมว. คลัง เผลอคุกคามทางวาจา-หลุดปากบ่นกลางวงสัมมนาว่า “มีแนวคิดจะปลดผู้ว่าแบงค์ชาติอยู่ทุกวัน”
แต่สุดท้ายก็ได้แค่ “คิดเสียงดัง” ไม่นำพาอะไร เนื่องจาก “ประสาร” มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 เป็น “เกราะป้องกันภัย” ชั้นเยี่ยม
การพ้นจากตำแหน่งผู้ว่า ธปท. จะเกิดขึ้นได้จาก 5 สาเหตุเท่านั้นคือ 1.ตาย 2.ลาออก 3.ขาดคุณสมบัติ 4.คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ออก โดยคำแนะนำของรัฐมนตรี เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริตต่อหน้าที่ และ 5.ครม.มีมติให้ออก โดยคำแนะนำของบอร์ด ธปท. เพราะบกพร่องในหน้าที่ร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ
นี่จึงเป็นเหตุให้เสียงคำรามของ “บิ๊กโต้ง” ไม่ต่างจากเสียง “ไก่ขัน” นอกจากจะไม่สามารถกดดันการทำหน้าที่อย่างอิสระของธปท. ได้แล้ว ยังสะท้อนผลในทางตรงข้าม ยิ่งบาทแข็ง ยิ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่ายการเมืองอ่อน (หัด)
ว่ากันว่าก่อน “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล” จะระบายความในใจออกมา เขาตั้งวงประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจร่วมกับผู้รู้และผู้เกี่ยวข้องหลายครั้ง มีทั้งวงที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีทั้งวงที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว
ทว่าวงที่สร้างแรงกดให้ “กิตติรัตน์” ต้องออกมาดัน “ประสาร” ต่อ หนีไม่พ้นวง “ที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี” ที่มี “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” นั่งหัวโต๊ะ ซึ่งยืนยันให้ส่งสัญญาณแรงถึงคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีผู้ว่าธปท. เป็นประธาน ให้ยอมลดดอกเบี้ยนโยบาย เพราะขืนปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าไม่หยุด มีแต่จะทำให้ภาคส่งออกเจ๊ง อีกทั้งยังปล่อยให้ไอ้โม่งเข้ามาเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร ก่อนถอนทุนไป กลายเป็นเศรษฐีใหม่ในชั่วข้ามคืน
สุดท้ายคนทำเจ๊งคือ “แบงก์ชาติ” คนรับกรรมคือ “ประชาชน” ส่วนคนต้องรับผิดชอบคือ “ฝ่ายการเมือง”
โดยมีตัวอย่างให้เห็นจาก “ขุนคลังรุ่นพี่” ซึ่งตกเป็น “แพะบูชายันต์” ต้องสังเวยชีวิตทางการเมืองจาก “พิษค่าเงินบาท” มาแล้ว 2 คนในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2540 คือ “อำนวย วีรวรรณ” และ “ทนง พิทยะ”
กล่าวสำหรับ “ขุนคลังคนปัจจุบัน” ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ปลาบปลื้มของ “นายใหญ่” หากย้อนไปดูข่าวช่วงปรับ “ครม. ยิ่งลักษณ์” แทบทุกครั้ง มักปรากฏชื่อ “กิตติรัตน์” ติดโผถูกปรับพ้นเก้าอี้
โดยครั้งที่หนักหนาสากรรจ์ที่สุดเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2555 หลัง “ไก่(โต้ง)อ่อน” ด้อยประสบการณ์ ออกมายอมรับว่าต้อง “โกหกเพื่อชาติ” ด้วยการบอกว่าตัวเลขการส่งออกของไทยจะโตร้อยละ 15 ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้ แต่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน จนเกิดเสียงวิจารณ์ไปทั่ว
แต่จนแล้วจน คุณสมบัติ “คนสนิทนายกฯ” ก็ทำให้เขาอยู่รอดมาได้ ทั้งที่ “นายใหญ่” มีแนวคิดจะปลด รมว.คลังอยู่ทุกวัน (ฮา) แต่ไม่อาจขัดใจน้อง เพราะ “คนนี้ปูขอ”
มาครั้งนี้เมื่อปัญหา “เงินบาทแข็งค่า” กำลังสร้างปัญหาให้ภาคการส่งออกครั้งใหญ่ และส่อว่าตัวเลขการส่งออกในปี 2556 จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 8-9 แน่นอนว่า “บิ๊กโต้ง” ไม่อาจงัดมุข white lie มาใช้ได้อีกแล้ว
แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจระลอกใหม่ ต่อให้ “ปูขออย่างไร” ก็ไม่มีทางรักษาเก้าอี้ให้ “ขุนคลัง” ผู้นี้ได้ ดีไม่ดีอาจจบเห่ทั้งรัฐบาล
จึงไม่แปลกอะไรหากจะมี “คำเตือน” จากใครบางคนที่อยู่ใน “วงที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ” ถึง “บิ๊กโต้ง” ว่า “หากยังไม่ทำอะไร ผมรู้สึกว่าแพะตัวต่อไปหน้าตาคล้ายคุณนะ”
กลายเป็นที่มาให้ “รองนายกฯ และ รมว. คลัง” ออกมาจิก-กัด “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” กลางวงสัมมนา
งานนี้เจ้าตัวขอสู้สุดใจเพื่อให้ได้อยู่อย่าง “ไก่(โต้ง)อ่อน” ในรัฐบาลต่อไป ดีกว่าต้องออกไปพร้อมเสียงร้องแบะๆ!!!
ชวนอ่านตอนเก่าๆ
คอลัมน์ ในวงเล็บ : ยิ่งลักษณ์ ยิ่งรู้
คอลัมน์ ในวงเล็บ : ปรองดองหัวหาย
