ปริศนา(อีกแล้ว)! ประธานศาลปค.แค่ 1 เดือน ตรวจราชการซ้ำ 2 ครั้งที่พิษณุโลก
ต้องขอบคุณ คุณดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครองที่ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกและยกยอดฉัตรทองคำลูกแก้ว ณ วัดพิพัฒน์มงคล จังหวัดสุโขทัยของประธานศาลปกครองสูงสุด
หนังสือชี้แจงดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก ว่าด้วยข้อเท็จจริงการเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกและยกยอดฉัตรทองคำลูกแก้ว ณ วัดพิพัฒน์มงคล จังหวัดสุโขทัยของนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด
ส่วนที่สอง เป็นความห่วงใยของคุณดิเรกฤทธิ์ที่มีต่อผมว่า การเขียนข่าว (บทความ) ที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วน ขาดการตรวจสอบส่งผลให้ประชาชนเข้าใจผิดและเสื่อมศรัทธาต่อบุคคลและองค์กรนั้น ซี่งเป็นเรื่องใหญ่มาก และกระทบถึงจริยธรรมของสื่อมวลชนมาก
“ผมจึงเป็นห่วงคุณประสงค์อย่าได้เขียนข่าวโดยปักใจเชื่อข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนที่ได้รับทางไปรษณีย์หรือจากแหล่งข่าวที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไปอีกเลยนะครับ”
จากการอ่านคำชี้แจงในส่วนแรก เรื่องการเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลก และยกยอดฉัตรทองคำลูกแก้ว ณ วัดพิพัฒน์มงคล ของประธานศาลปกครองสูงสุดพบว่า ยังมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน ดังนี้
1.ตามกำหนดการระยะเวลาในการตรวจราชการ (9.00-11.30 น.) ที่ศาลปกครองพิษณุโลกทับซ้อนกับพิธีอัญเชิญยอดฉัตร (เวลา 10.59 น.) ณ วัดพิพัฒน์มงคล อ.ทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย มีการแก้ไขกำหนดการเพื่อให้ประธานศาลปกครองฯสามารถตรวจราชการได้อย่างเหมาะสมคุ้มค่ากับเงินของทางราชการที่เบิกจ่ายไปหรือไม่อย่างไร ตามข้ออ้างที่ว่า การเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่าย “เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครองหรือเพื่อเกียรติแห่งประธานศาลปกครองสูงสุด”
โดยอ้างแต่เพียงว่า สำนักงานศาลปกครอง จึงได้เสนอปรับแผนการเดินทางไปตรวจราชการและกำหนดการให้เป็นช่วงเวลาที่ท่านจะสามารถไปเป็นประธานและร่วมโครงการของสำนักงานศาลปกครองได้ด้วย
2.การไปร่วมพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้ว ณ วัดพิพัฒน์มงคลและปฏิบัติธรรมของข้าราชการศาลปกครองถือเป็นการไปปฏิบัติราชการตามบันทึกของสำนักบริหารงานกลาง ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 หรือไม่
ถ้าใช่ เมื่อประธานศาลปกครองฯได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมข้าราชการที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรม ทำไมไม่ตั้งเรื่องเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับประธานศาลปกครองฯและผู้ติดตามโดยตรง แต่ไปตั้งเรื่องเบิกจ่ายการไปตรวจราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลก
3.การเดินทางไปทอดกฐินพระราชทานหรือกฐินหลวงของหน่วยงานรัฐต่างๆถือเป็นการปฏิบัติราชการเช่นเดียวกับการการเดินทางไปปฏิบัติธรรมของสำนักงานศาลปกครองหรือไม่
ถ้าใช่ ทำไมไม่สามารถตั้งเรื่องเบิกจ่าย จนทำให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องจัดสัมมนาบังหน้าเพื่อเบิกค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้บริหารถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดทางอาญา
4.คุณดิเรกฤทธิ์อ้างว่า สำนักงานศาลปกครองได้กราบเรียนเชิญประธานศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม ณ วัดพิพัฒน์มงคล ทั้งๆ ที่ ในหนังสือชี้แจงฉบับเดียวกัน (และเอกสารแนบ) ก็ระบุชัดว่า เจ้าอาวาสวัดพิพัฒน์มงคลอาวาส มีหนังสือกราบเรียนเชิญประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธานในพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิตฯ (เป็นการส่วนตัว?) และประธานศาลปกครองฯบัญชาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2555 ให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินการต่อไป
ดังนั้น โครงการดังกล่าว จึงเป็นบัญชาของประธานศาลปกครอง แม้สำนักงานศาลปกครองไม่กราบเรียนเชิญประธานศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม ประธานศาลปกครองฯก็ต้องเดินทางไปเป็นประธานยกยอดฉัตรฯ (เป็นการส่วนตัว?) อยู่ดี
คุณดิเรกฤทธิ์ชี้แจงด้วยว่า ในการเชิญชวนข้าราชการและตุลาการเข้าร่วมโครงการและร่วมทำบุญโดยไม่มีการเบิกค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแต่อย่างใด
แต่ทำไมประธานศาลปกครองฯซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงาน จึงเป็นบุคคลเดียวที่เบิกค่าใช้จ่ายจากงบประมาณ ทั้งๆ ที่มีรายได้และมีเกียรติยศมากกว่าข้าราชการตุลาการศาลปกครอง
5.คุณดิเรกฤทธิ์ยังอ้างด้วยว่า ในเดือนกรกฎาคม ประธานศาลปกครองสูงสุดมีแผนการตรวจราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลกอยู่แล้ว
แต่จากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ศาลปกครอง (http://www.admincourt.go.th/news_01.aspx) พบว่า นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุด นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และคณะผู้บริหารสำนักงานศาลปกครองเพิ่งเดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองพิษณุโลก เพื่อมอบนโยบายและติดตามผลการดำเนินงาน ระหว่างวันที่ 18-19 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา(ก่อนอ้างว่า เดินทางไปตรวจราชการอีกครั้งในวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 อีกครั้งพร้อมกับการยกยอดฉัตรซึ่งห่างกันเดือนเศษเท่านั้น)
(คลิกดู http://www.admincourt.go.th/news_01_detail.aspx?News_data_Index=+5776+)
จากการตรวจสอบยังพบด้วยว่า ประธานศาลปกครองสูงสุดและคณะได้เดินทางไปตรวจราชการที่ศาลปกครองจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่ต้นปี 2555 รวมแล้ว 9 ครั้ง ดังนี้
27-28 กุมภาพันธ์ เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองอุบลราชธานี
14-15 มีนาคม เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองระยอง
23-24 เมษายน เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองขอนแก่น
30 เมษายน-1พฤษภาคม เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองนครราชสีมา
21-22 พฤษภาคม เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองอุดรธานี
5-6 มิถุนายน เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองนครศรีธรรมราช
11-12มิถุนายน เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองเชียงใหม่
18-19 มิถุนายน เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองพิษณุโลก
5-6 กรกฎาคม เดินทางไปตรวจราชการศาลปกครองสงขลา
คำถามคือ ทำไมประธานศาลปกครองฯต้องเดินทางไปตรวจราชการซ้ำที่ศาลปกครองพิษณุโลกทั้งที่เพิ่งเดินทางไปตรวจราชการมาเพียงเดือนเศษ
ยังมีศาลปกครองอีกหลายแห่งที่ประธานศาลปกครองยังไม่ได้เดินทางไปตรวจราชการในปีนี้หรือควรเดินทางไปตรวจราชการซ้ำที่ศาลปกครองที่เดินทางไปมาเมื่อต้นปีซึ่งเวลาห่างกันหลายเดือน
ศาลปกครองพิษณุโลกมีลักษณะพิเศษ หรือมีความบกพร่องอย่างไร ประธานศาลปกครองฯจึงต้องเข้มงวดกวดขัน ถึงกับต้องไปตรวจราชการซ้ำถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่คุณดิเรกฤทธิ์อ้างว่า ในเดือนกรกฎาคม ประธานศาลปกครองสูงสุดมีแผนการตรวจราชการที่ศาลปกครองพิษณุโลกอยู่แล้ว เป็นความจริงหรือปั้นแต่งขึ้น?
หรือเป็นเพียงช่องทางในการเบิกค่าใช้จ่ายจากงบประมาณสำหรับเดินทางไปพิษณุโลกเพื่อไปยกยอดฉัตร ณ วัดพิพัฒน์มงคล?
ส่วนที่สอง การคุณดิเรกฤทธิ์ห่วงใยในการทำหน้าที่สื่อมวลชนของผมนั้น รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ผมเชื่อว่า คุณดิเรกฤทธิ์เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูง ซึ่งชื่อเสียงเกียรติคุณของคุณดิเรกฤทธิ์ในด้านนี้เป็นที่เลื่องลืออย่างมาก ตั้งแต่คุณดิเรกฤทธิ์รับราชการอยู่ในกระทรวงมหาดไทยและได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญๆ เช่น การดูแลปืนสวัสดิการของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งผมยังคิดด้วยว่าน่าจะนำเกียรติประวัติดังกล่าวมาเผยแพร่ให้เป็นแบบอย่าง
เมื่อผมได้รู้จักคุณดิเรกฤทธิ์ซึ่งย้ายมารับราชการที่สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (สขร.) สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผมจำได้เลาๆ ว่า คุณดิเรกฤทธิ์ยังใช้ชื่อ “ชาญชัย” อยู่ได้เชิญผมไปบรรยายเรื่อง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่เขาใหญ่พร้อมกับ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ โดยไม่เคยคิดว่าจะได้ค่าบรรยายด้วยเพราะถือว่า เป็นการช่วยราชการ
แต่ต่อมาสักสัปดาห์หรือสองสัปดาห์เพื่อนผมใน สขร.แจ้งว่า ผมมีสิทธิ์ได้รับค่าบรรยายด้วย ถ้ายังไม่ได้จะทวงถามให้ ถ้าจำไม่ผิดคุณดิเรกฤทธิ์ได้กรุณาฝากค่าบรรยายมาให้ผมในภายหลังซึ่งเป็นเงินจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่สะท้อนให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตของคุณดิเรกฤทธิ์อย่างมากที่อุตสาห์ฝากค่าบรรยายเล็กๆน้อยๆมาให้
ดังนั้น เมื่อคุณดิเรกฤทธิ์ได้กรุณาแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนให้แก่ผม จึงขอน้อมรับไปพิจารณาด้วยความขอบคุณ