พิษไวรัสโควิด-19 ลามทั่วโลก ฉุดหุ้นไทยดิ่ง 59 จุด ต่ำสุดรอบ 4 ปี
ไวรัสโควิด-19 ลามทั่วโลก ฉุดดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 59 จุด ต่ำสุดในรอบ 4 ปี 'ภากร' ชี้ไม่เกี่ยวปัจจัยในประเทศ แนะนักลงทุนอย่าเชื่อ Fake News ลงทุนหุ้นปันผลสูง
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดตลาดที่ระดับ 1,435.56 จุด ลดลง 59.53 จุด หรือลดลง 3.98% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 76,431.30 ล้านบาท โดยเมื่อเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีฯร่วงลงทันทีกว่า 25 จุด หรือลดลง 1.7% และเมื่อปิดตลาดเช้า ดัชนีฯลดลงมาอยู่ที่ 1,458.84 จุด ลดลง 36.25 จุด หรือลดลง 2.42% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34,924.15 ล้านบาท
ต่อมานายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์หลังปิดตลาดช่วงเช้าว่า ดัชนีฯหุ้นไทยที่ลดลงกว่า 30 จุด เป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเกาหลีใต้พบการติดเชื้อเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด รวมทั้งพบผู้ติดเชื้อในประเทศในแถบยุโรปเพิ่มขึ้นด้วย โดยไม่ได้มีแรงกดดันจากปัจจัยในประเทศแต่อย่างใด
นายภากร ระบุว่า ขณะนี้อยากแนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุน หลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสเลือกหุ้นที่มีปันผลดี รวมทั้งพิจารณารับรู้ข่าวสารโดยระมัดระวังข่าวปลอม (Fake News) ทั้งนี้ เชื่อว่าหากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงก็จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นไทยยังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker (หยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว)
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเปิดตลาดช่วงบ่าย ดัชนีฯยังคงลดลงต่อเนื่อง ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,435.56 จุด ลดลง 59.53 จุด ดังกล่าว ซึ่งเป็นดัชนีฯที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี หรือตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.2559
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีฯในช่วงบ่ายยังปรับตัวลงต่อเนื่อง ปัจจัยหลักจากความกังวลการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกประเทศจีน โดยเฉพาะเกาหลีและอิตาลีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นมาก และยังกังวลผลกระทบทางเศรษฐกิจจากที่สายการบินต่างๆ ยกเลิกเที่ยวบินมายังภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าภาคการผลิตอาจหยุดชะงักหรือชะลอตัว จากการที่จะหยุดงานเพื่อสกัดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เพราะเกาหลีใต้เป็นแหล่งผลิตกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่สำคัญ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/