'ศูนย์วิจัยกสิกรฯ' ประเมินอุตฯในพื้นที่ EEC เหลือน้ำใช้แค่ 84 วัน
‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ เผยอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ‘เสี่ยงขาดน้ำ’ หลังน้ำสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเหลือเพียง 120 ล้าน ลบ.ม. คาดหากฝนไม่ตกใช้ได้อีกเพียง 84 วันเท่านั้น
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์เรื่อง "อุตสาหกรรมภาคตะวันออก เสี่ยงขาดน้ำ" โดยประเมินว่าพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีโอกาสประสบปัญหาขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่จะถึงนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 76% ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งประเทศ ทั้งนี้ ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวกำลังประสบภาวะปริมาณน้ำที่ใช้การได้ลดลงต่ำกว่า 30% ของปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่
“น้ำที่จะถูกจัดสรรให้กับภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ราว 120 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เป็นปริมาณน้ำสำรองที่อยู่ในระดับต่ำ และสามารถใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้เพียง 84 วัน หรือถึงราวปลายเดือนพ.ค.นี้ เท่านั้น โดยโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำใช้ในกระบวนการผลิตในระยะข้างหน้า หากไม่มีฝนตกหรือมาตรการอื่นรองรับ” ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุว่า เมื่อวิเคราะห์ถึงผลกระทบแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม จะพบว่า กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมภาคตะวันออกที่น่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งมากที่สุด น่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีความต้องการน้ำในกระบวนการผลิตและจำนวนโรงงานมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มเคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อโลหะ เช่น แก้ว ปูน และกระเบื้อง เป็นต้น น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรองลงมา
สำหรับกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แม้จะมีความต้องการน้ำในกระบวนการผลิตสูง แต่จำนวนโรงงานที่ลดน้อยลงจากการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ผลกระทบโดยรวมน่าจะน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภัยแล้งในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว ปัจจุบัน ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับ ไม่ว่าจะเป็นการผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกงหรือแหล่งน้ำอื่นไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออก หรือแม้แต่การรณรงค์ให้ช่วยกันลดปริมาณการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมลง 10% และการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนใช้น้ำซ้ำ เป็นต้น
นอกจากนี้ แนวโน้มอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตามเศรษฐกิจ และการส่งออกที่อาจจะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี ก็น่าจะมีส่วนกดดันการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีส่วนลดปริมาณการใช้น้ำในทางอ้อม ภายใต้มาตรการและสถานการณ์ดังกล่าว ก็อาจหนุนให้ปริมาณน้ำเพียงพอใช้ไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่คาดการณ์กันว่าไทยจะเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นฤดูฝนในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สำหรับในระยะยาว ความต้องการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการผลักดันเศรษฐกิจของไทย ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของพื้นที่อุตสาหกรรมอย่างระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือแม้แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญของไทย เป็นต้น
โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คาดว่า ในปี 2580 ความต้องการน้ำดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีกราว 40% เมื่อเทียบกับระดับความต้องการน้ำในปัจจุบัน โดยเป็นความต้องการในภาคเกษตรราว 60% ภาคอุตสาหกรรม 28% และภาคอุปโภคบริโภคราว 13% ประกอบกับภาวะภัยแล้งที่น่าจะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์โลกร้อน ทำให้เรื่องความมั่นคงทางน้ำกลายเป็นโจทย์สำคัญของไทยที่ต้องดำเนินการแก้ไข
ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนน้ำ นอกจากการสร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มเติมแล้ว การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคอุปโภคบริโภค เพื่อควบคุมหรือลดการใช้น้ำก็มีส่วนสำคัญ เช่น การใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดความชื้นและอุณหภูมิของดินเพื่อควบคุมการให้น้ำแก่พืชอย่างแม่นยำ การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดการรั่วไหลของท่อน้ำประปา เป็นต้น
“นอกจากวิธีการต่างๆดังกล่าวแล้ว ในระยะยาว เพื่อลดการพึ่งพาน้ำฝนจากธรรมชาติ การสนับสนุนให้เกิดการลงทุนตั้งโรงงานผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ก็น่าจะเป็นแนวทางสำคัญอันหนึ่งในการแก้ปัญหาความมั่นคงทางน้ำ พร้อมทั้งสร้างสมดุลการใช้น้ำในภาคส่วนต่างๆได้”บทวิเคราะห์ระบุ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/