‘พ.อ.พงษ์เพชร’ กรณีนายทุนรุกป่า ฝากเตือนบุคคล 3 กลุ่ม ‘คนรวยขอให้ท่านรู้จักพอได้แล้ว’
"… ขอให้ท่านมีจิตสำนึกอนุรักษ์ป่าซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่าของชาติบ้าง หากท่านต้องการซื้อที่ดิน ขอให้ท่านไปซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย เงินของท่านไม่สามารถซื้อเจ้าหน้าที่ได้ทุกคน…"
ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณจักร (ศปป.4 กอ.รมน.) ปรากฏชื่อเข้าไปมีบทบาทในการตรวจจับ การบุกรุกป่าทรัพยากรหลายกรณี อาทิ การบุกรุกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ,กรณีการสร้างรีสอร์ท ดอยม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่ ,การบุกรุกป่าใน จ.เพชรบูรณ์ ล่าสุด กรณีเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2563 ศปป.4 กอ.รมน. โดย พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ภายใต้การอำนวยการของนายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ศปก.พป./อปม. และพล.ท.เรืองสิทธิ์ มิตรภานนท์ ผอ.ศปป.4 กอ.รมน. นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง), นายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม, นายสมชาย ฉิมแย้ม ชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ และคณะเจ้าหนัาที่ ได้สนธิกำลังร่วมกันออกตรวจปราบปราม การกระทำผิด ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม บ้านลิเจีย หมู่ 4 ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัด กาญจนบุรี และเข้าตรวจยึดแปลงที่ดินของกลุ่มบุคคลที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมรวมเนื้อที่ 197 - 1 - 75 ไร่ คิดค่าเสียหายของรัฐเป็นเงิน รวม 29,614,500 บาท (อ่านข่าวเกี่ยวข้อง: เปิด ‘เบื้องหลัง-ภาพ’ ที่ดินวิวสวย ในอุทยานฯ เขาแหลม 197 ไร่ คดีนักธุรกิจดังครอบครอง)
15 ก.พ.2563 พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีดังกล่าวว่า
กรณีนายทุนรายใหญ่รุกป่า ผมอยากจะขอฝากเตือนถึงบุคคล 3 กลุ่มคือ กลุ่มนายทุน, กลุ่มชาวบ้าน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ ดังนี้
1.กลุ่มนายทุนที่มีฐานะการเงิน และมีโอกาสทางสังคมสูงหรือกลุ่มคนรวย ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ แต่มีความต้องการครอบครองที่ดินสูง ขอให้ท่านรู้จักพอได้แล้ว ขอให้หยุดการซื้อขายป่าและครอบครองป่าโดยผิดกฎหมาย ขอให้ท่านมีจิตสำนึกอนุรักษ์ป่าซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่าของชาติบ้าง หากท่านต้องการซื้อที่ดิน ขอให้ท่านไปซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย เงินของท่านไม่สามารถซื้อเจ้าหน้าที่ได้ทุกคน เมื่อท่านถูกตรวจพบหรือถูกจับได้ท่านจะต้องสูญเสียทุกอย่างทั้งทรัพย์สินเงินทองที่นำไปซื้อที่ดิน หรือนำไปลงทุน ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และความเชื่อถือทางสังคม และที่สำคัญท่านจะต้องถูกดำเนินคดีถึงขั้นติดคุกได้ การกระทำของท่านนอกจากจะผิดกฏหมายแล้วยังเป็นการส่งเสริมให้มีการบุกรุกป่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากเมื่อชาวบ้านขายที่ทำกินไปแล้วก็จะต้องไปหาที่ทำกินใหม่โดยบุกรุกป่าใหม่เพิ่มขึ้นเป็นวัฎจักรไม่จบไม่สิ้น
2. กลุ่มชาวบ้านที่ครอบครองทำกินในป่ามาก่อน ที่ได้สำรวจการถือครองไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาโดยผ่อนปรนให้ทำกินในป่าได้ และตกทอดสิทธิทำกินให้กับทายาทได้ แต่มีหลักเกณฑ์ว่าในระหว่างที่รอการพิสูจน์สิทธิ์การถือครองที่ดินจากรัฐ ห้ามมิให้ซื้อขายเปลี่ยนมือ, ห้ามบุกรุกป่าใหม่, ห้ามขยายพื้นที่เพิ่ม ทำกินอยู่แค่ไหนอยู่แค่นั้น และต้องทำกินอย่างต่อเนื่อง เมื่อท่านมีสิทธิ์ให้อยู่อาศัยทำกินในเขตป่าตามมติ ครม.30 มิ.ย.41 ดังกล่าวแล้ว ท่านจะต้องรักษาสิทธิ์นี้ให้ดีไว้เป็นมรดกให้กับลูกหลาน ถ้าท่านขายไปถือว่าท่านเจตนาสละการครอบครองที่ดิน และจะไม่สามารถกลับเข้ามาทำกินในพื้นที่เดิมได้อีก และหากท่านไปบุกรุกป่าใหม่ เป็นการทำผิดกฎหมาย จะถูกจับติดคุกทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น
3. กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ขอให้ท่านมีจิตสำนึก และตระหนักถึงการทำหน้าที่ปกป้องทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้มากๆ อย่าได้ทรยศกับหน้าที่ของตนเอง ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน, อบต., เจ้าหน้าที่ป่าไม้, เจ้าหน้าที่อุทยาน, เจ้าหน้าที่ สปก., เจ้าหน้าที่ที่ดิน หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆของรัฐที่รับผิดชอบพื้นที่
พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ
ขอเตือนว่า หากท่านเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เช่นไปให้การรับรองเป็นเท็จกับนายทุนผู้ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีคุณสมบัติเป็นต้น หรือเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง จะเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา ม.157 ซึ่งท่านจะเสียอนาคต ต้องถูกดำเนินคดีถึงขั้นติดคุก ถูกออกจากงาน ซึ่งจะถูกลงโทษมากกว่าบุคคลทั่วไป