อภิรัชต์ คงสมพงษ์ : เสียใจเหตุการณ์ทหารกราดยิง วอนอย่าด่ากองทัพ ให้มาโทษ ผบ.ทบ.
"...ไม่มีใครในโลกนี้อยากจะให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศของตัวเอง ผมว่าไม่มีคนไทยคนไหนอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นอย่าด่าว่ากองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าท่านจะด่า ท่านจะตำหนิ ท่านมาด่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผมน้อมรับคำตำหนิ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง ท่านมาด่าผมเพราะผมเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในคนหมู่มาก ทุกองค์กรก็ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่..."
หมายเหตุ : เมื่อเวลา 8.50 น. วันที่ 11 ก.พ.2563 พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดแถลงข่าวกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี นายทหารชั้นประทวน สังกัดกองสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ก่อเหตุความรุนแรงที่ จ.นครราชสีมา จนทำให้มีประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 29 ราย มีผู้บาดเจ็บ 58 ราย และ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถูกวิสามัญฯเสียชีวิต
@เสียใจกับเหตุกราดยิง เผยลำดับเหตุการณ์ละเอียดตั้งแต่เริ่มปล้นปืนได้อย่างไร
พล.อ.อภิรัชต์ เรียบเรียงประเด็นการแถลงข่าวเป็น 8 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ 1 ต้องขอโทษ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตการณ์สะเทือนขวัญในครั้งนี้ ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นกำลังพลของกองทัพบก รวมทั้งต้องขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัว ประชาชน ตลอดจนข้าราชการที่ต้องเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ประเด็นที่ 2 สำหรับลำดับเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 ก.พ. เวลาประมาณ 14.00 น. ทหารผู้ก่อเหตุได้ใช้อาวุธปืนส่วนตัวก่อเหตุสังหารคู่กรณีและเครือญาติ ณ บ้านพักส่วนตัว ขณะที่อาวุธปืนที่ผู้ก่อเหตุนำติดตัวไปใช้ก่อเหตุครั้งนี้ มีจำนวน 5 รายการ ประกอบด้วย ปืนพกบาเร็ตต้า 1 กระบอก ,ปืนพกขนาด 11 มิลลิเมตรยี่ห้อเอชเอ็ม 1 กระบอก ,ปืนลูกโม่แม็กนั่ม .44 จำนวน 1 กระบอก ,ปืนเล็กยาวขนาด .22 ลองไรเฟิล 1 กระบอก และปืนลูกซองเรมิงตันแบบ 870 อีก 1 กระบอก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าอาวุธปืนเหล่านี้ ผู้ก่อเหตุได้ซื้อเอาไว้ใช้ส่วนตัวอย่างถูกต้อง โดยกู้เงินมาซื้อ
โดยหลังจากผู้ก่อเหตุได้สังหารคู่กรณีและเครือญาติแล้ว เวลาต่อมาประมาณ 15.00 น. ผู้ก่อเหตุได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อมิตซูบิชิสีน้ำเงินขับมาที่ป้อมยามรักษาการณ์ของกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 ซึ่งเป็นพื้นที่ในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จากนั้นใช้อาวุธที่คาดว่าจะเป็น 1 ใน 5 รายการขู่ทหารยามรักษาการให้ส่งมอบอาวุธปืนเอชเค 33 โดยทหารยามรักษาการจึงมอบปืนเอชเค 33 ไป 1 กระบอก พร้อมกับกระสุนจำนวน 44 นัด ในแมกกาซีน
แต่เมื่อผู้ก่อเหตุได้อาวุธปืนเอชเค 33 ไปแล้ว ก็ใช้อาวุธปืนดังกล่าวกราดยิงทหารยามรักษาการ จนเป็นเหตุให้พลทหารเมธี เลิศศิริ เสียชีวิต รวมทั้งกราดยิงทหารยามรักษาการณ์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และทำให้พลทหารได้รับบาดเจ็บอีก 2 นาย คือพลทหาร โชคชัย มูลจันทา และ พลทหาร อรรถพล วงศ์พล จากนั้นผู้ก่อเหตุได้ขับรถไปที่คลังอาวุธของกองร้อย ก่อนจะใช้ปืนลูกซองยิงทำลายกุญแจคลังอาวุธ และตัวบานประตูคลังอาวุธ จากนั้นได้เข้าไปหยิบอาวุธปืนเล็กยาว 11 จำนวน 1 กระบอก และปืนกลเอ็ม 60 อีก 1 กระบอก
จากนั้นผู้ก่อเหตุขับรถเข้าไปที่บก.พัน และเข้าไปขโมยรถยนต์บรรทุก 51 บี (รถจิ๊ปดัดแปลง) ก่อนจะขับรถจิ๊ปไปยังคลังกระสุนของกองพัน และใช้รถจิ๊ปขับชนประตูคลังกระสุนบก.พัน และเข้าไปขโมยเอากระสุนขนาด 5.56 มิลลิเมตร จำนวน 736 นัดออกมา ซึ่งตอนนั้นทหารภายในค่า่ยเริ่มทราบสถานการณ์แล้ว ต่อมาผู้ก่อเหตุรถจิ๊ปออกจากค่ายไป
"ผู้ก่อเหตุได้ใช้รถจี๊ปขับรถชนประตูคลังกระสุน จนประตูเสียหาย และเข้าไปในคลังหยิบกระสุนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งใช้กับปืนเอชเคมาได้เพิ่มเติม ขณะที่ชุดเผชิญเหตุนั้นได้พยายามไล่ติดตาม แต่ก็มีข้อจำกัด เพราะมีแค่ปืนพกประจำตัวและก็ไม่มีรถตรวจการณ์ เพราะถูกขโมยไปแล้ว จึงต้องใช้รถส่วนตัวไล่ล่าผู้ก่อเหตุ"
พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า เมื่อผู้ก่อเหตุขับรถจี๊ปออกมานอกค่าย ก็ได้ใช้อาวุธปืนก่อเหตุกราดยิงรายทาง จนทำให้มีนายทหารที่อยู่ระหว่างการลาพักผ่อนเสียชีวิตอีก 1 ราย หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุได้ขับรถเข้าไปในห้างเทอร์มินัล 21 ตามที่เป็นข่าว
@แจง แรงจูงใจมาจากปมถูกโกงที่ จี้สอบทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 3 สาเหตุที่เป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติในประเด็นการขายที่ดิน โดยเมื่อมีการผิดสัญญาต่อกันจึงเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุ ซึ่งประเด็นนี้คงจะต้องมีการตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของผู้บังคับบัญชากันต่อไป แต่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุได้สังหารคู่กรณีนั้น เขาคืออาชญากรไปแล้ว ไม่ใช่พลทหารแต่อย่างใด
"โครงการที่ทำในกองทัพบก ทั้งบ้านสวัสดิการ การกู้เงิน และการร่วมมือกับบางหน่วยกับพ่อค้า มีการวิ่งเต้น ผมรู้เรื่องนี้ดี ภายในเดือนก.พ.-เม.ย.นี้ นายพลยันพันเอกไม่มีงานทำแน่ โดยต่อไปนี้กองทัพจะไม่ให้มีผลประโยชน์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ขอเวลา ไม่ได้พึ่งทำ สิ่งที่สั่งหลายๆอย่างภายในวงรอบการย้ายเห็นดีแน่"
@รับอาจมีบางหน่วยหละหลวมปมป้องกันคลังอาวุธ
ประเด็นที่ 4 สำหรับมาตรการป้องกันคลังอาวุธนั้น ขอเรียนว่าทางกองทัพบกได้ออกมาตรการเรื่องนี้และทำมานานแล้ว แต่อาจมีหน่วยที่หละหลวมก็ต้องลงโทษ ถ้าหากมีหน่วยที่หย่อนยานก็ต้องปรับปรุงกันไป แต่กรณีนี้ผู้ก่อเหตุมีความช่ำชอง รู้ว่าจะไปหยิบอาวุธที่ไหน จะทำลายอะไรอย่างไร ซึ่งตามระเบียบการแล้วจะมีพื้นที่ที่ทหารอยู่ใน 2 ส่วน คือ พื้นที่ที่มีความเสี่ยง และพื้นที่ที่ปกติ
เพราะฉะนั้นยอมรับว่า มาตรการป้องกันเหตุในแต่ละหน่วย ทั้งการติดกล้องวงจรปิด การเก็บรักษากระสุน ในหลายๆหน่วยอาจจะมาตรฐานไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความใส่ใจของผู้บังคับบัญชา ซึ่งกองทัพบกได้เน้นเรื่องนี้มาทุกยุคทุกสมัย แต่เรื่องมาตรการนั้นก็ควรจะมีความรัดกุมมากขึ้น
“ท่านเข้ามากองบัญชาการกองทัพบก ท่านไปเปิดดูได้ว่าปืนที่ใช้ไม่เคยมีการบรรจุกระสุน เพราะไม่ใช่หน่วยที่จะเตรียมพร้อมอยู่ในพื้นที่การรบ” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
@แจงกองทัพบกหนุน 'จักรทิพย์'คลี่คลายสถานการณ์ใกล้ชิด
ประเด็นที่ 5 การบริหารสถานการณ์ ณ พื้นที่เกิดเหตุ ต้องเรียนว่า ทันทีที่ตนจบภารกิจก็ได้รายงานภารกิจไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ทราบ โดยพล.อ.ประยุทธ์ก็ได้มอบหมายให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหมได้ทราบ และพล.อ.ชัยชาญได้เดินทางไปกับตนเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและต้องไปประเมินภัยคุกคาม
ทั้งนี้ ตนและรมช.กลาโหมไปถึงที่เกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. และเมื่อไปถึง ก็ได้มีการประชุมหารือกับ พล.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้รายงานสถานการณ์ทางนายกรัฐมนตรีทราบ จากนั้นนายกฯได้สั่งการให้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้ 3 ข้อ
คือ 1.การใช้อำนาจกฎหมายปกติ ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บัญชาการแก้ไขเหตการณ์ (ผบ.เหตุการณ์) ซึ่งการให้คนเป็น ผบ.เหตุการณ์ ก็เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง เพราะนี่คือการก่ออาชญากรรม ซึ่งการให้ใครเป็นผู้บัญชาการแก้สถานการณ์ถือเป็นขั้นตอน เพราะจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์นั้นมีเอกภาพ เพราะผบ.เหตุการณ์จะมีอำนาจในการตัดสินใจ
ข้อ 2.การดำเนินการทุกอย่างขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน เพราะเรายอมรับความสูญเสียของประชาชนมากไปกว่านี้ไม่ได้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานใช้ความระมัดระวัง ทำตามขั้นตอนเพื่อให้ประชาชนที่ยังติดอยู่ในห้างได้รับความปลอดภัยมากที่สุด โดยตนได้สั่งการให้กรมรบพิเศษที่ 3 ให้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว และให้กำลังส่วนหนึ่งอยุ่ที่ค่ายสุรนารี เป็นกองหนุนเข้าปฎิบัติการณ์ได้เสมอเมื่อ ผบ.เหตุการณ์ ได้ร้องขอมา
ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ก็ประเมินแล้วว่าตำรวจสามารถจะดำเนินการได้ และ ผบ.เหตุการณ์ก็ไม่ได้ร้องขอให้ทหารเข้าไปเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ซึ่งการแต่งตั้งในครั้งนี้ก็เป็นไปตามกฎหมายอีกเช่นกัน
ต่อมาในข้อ 3.ฝ่ายทหารนั้นได้ออกมาอยู่รอบนอก และได้อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประสานงานกับทางราชการและเอกชนในทุกกรณี โดยเฉพาะการสั่งการให้ทหารไปบริจาคเลือดเพื่อสำรองไว้ในกรณีที่ไม่เพียงพอ โดยในกรณีนี้ทุกฝ่ายก็ได้ร่วมมือร่วมใจกันทุกภาคส่วน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ และต่อมาเมื่อเวลา 5.00 น. ตนและรมช.กลาโหมได้ออกไปเตรียมการบรรยายสรุปให้กับนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะลงพื้นที่ให้ได้รับทราบต่อไป ซึ่งเรารู้และคอยติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
@ทบ.เตรียมร่วมเยียวยา เล็งรับครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นทหารโดยไ่มีเงื่อนไข
“ผมและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เราทำงานผ่านวิกฤติหลายๆอย่างมาด้วยกัน เราต้องการให้ ในการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ก็ต้องชื่นชมตำรวจจากทุกหน่วยงานที่เข้าไปร่วมปฎิบัติงานในพื้นที่ ผมขอชื่นชม แม้ว่าจะมีตำรวจหลายนายต้องเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่และได้รับบาดเจ็บ เช่นเดียวกับยามรักษาการณ์ แต่หลังจากเหตุการณ์ยุติลงเมื่อเวลา 8.50 น.ก็มีการสำรวจความเสียหาย มีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งก็ต้องขอบคุณทักฝ่ายที่ได้ร่วมมือกันฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้สั่งการให้มีการเยียวยาตามขั้นตอน สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
เช่นเดียวกัน ในประเด็นที่ 6 กองทัพบกที่จะเยียวยาทหารที่เสียชีวิตเกินกว่าที่จะได้รับอย่างแน่นอน เพราะเขาได้ทำหน้าที่แล้วอย่างสมบูรณ์ และจะเยียวยาผู้ที่บาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไป ตนในฐานะผู้บัญชาการทหารบกพร้อมที่จะทำทุกย่างให้สภาพจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บดีขึ้น ส่วนประชาชนที่เสียชีวิต กองทัพบกก็พร้อมที่รับครอบครัวเข้ารับราชการตามคุณวุฒิ ถ้าหากมีความประสงค์ โดยไม่มีข้อแม้แต่อย่างใด” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
@เล็งสร้างช่องทางร้องเรียนโดยตรง แก้ไขปัญหาผู้น้อยถูกรังแก
ประเด็นที่ 7 จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ผู้ก่อเหตุและคู่กรณีมีความสัมพันธ์กันทางการบังคับบัญชา ดังนั้น กองทัพบกได้สั่งการไปแล้ว และจะหาวิธีที่ดีที่สุดในการเปิดช่องทางการร้องเรียนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งช่องทางนี้จะเป็นความลับและส่งตรงถึงตน แต่ผู้ร้องเรียนจะต้องแสดงตนว่าอยู่หน่วยไหน เป็นใคร เพื่อดำเนินการและลงโทษอย่างเต็มที่ในขีดความสามารถที่จะทำได้ และนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมาตนก็ได้สั่งการไปแล้วว่าให้มีการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือในเรื่องช่องทางการร้องเรียนเหล่านี้
@วอนอย่าด่า ทบ. ทหารดีๆก็มี ถ้าจะว่าใคร ให้โทษ พล.อ.อภิรัชต์
ประเด็นที่ 8 ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ตนในฐานะผู้บัญชาการทหารบกก็ต้องขอแสดงความเสียใจอีกครั้งหนึ่งต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ตลอดเวลาที่เกิดเหตุ มีคำตำหนิกองทัพบกมากมาย แต่ทั้งนี้ขอเรียนว่ากองทัพบกนั้นเป็นองค์กรด้านความมั่นคง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีคนมากมายด่าทหาร แต่ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่าท่านอย่าด่าทหาร กองทัพบกเป็นองค์กรไม่มีความรู้สึก ทหารที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในประเทศไทย อยู่ตามแนวชายแดน ทหารที่ยังปราบปรามยาเสพติด ทหารที่ยังต้องเสี่ยงชีวิต ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ ทหารที่ยังต้องช่วยเหลือภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งทหารที่ดีนั้นมีอยู่ทั่วกองทัพบก ต้องขอว่าอย่าไปด่าว่าเขาเลยเพราะเขาจะเสียกำลังใจในการทำงาน
“ไม่มีใครในโลกนี้อยากจะให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศของตัวเอง ผมว่าไม่มีคนไทยคนไหนอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นอย่าด่าว่ากองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าท่านจะด่า ท่านจะตำหนิ ท่านมาด่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผมน้อมรับคำตำหนิ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง ท่านมาด่าผมเพราะผมเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในคนหมู่มาก ทุกองค์กรก็ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่ ถึงแม้ผมจะเหลือเวลารับราชการอยู่อีก 7-8 เดือน แต่ผมก็จะไม่ย่อท้อในการปรับปรุง พัฒนากองทัพบก พัฒนาบุคลากร เข้มงวด รักษามาตรฐานเพิ่มมาตรการทุกอย่างให้ดีขึ้น เรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา และใช้อำนาจของผู้บัญชาการทหารบกจนวันสุดท้ายที่ผมส่งมอบธงให้กับผู้บัญชาการทหารบกท่านต่อไป” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
@ลั่นใครซื้อปืนสวัสดิการ หลังจากนี้ให้นายพลเซ็น
พล.อ.อภิรัชต์กล่าวต่อในช่วงซักถามว่า หลังจากนี้เลิกซื้อปืนสวัสดิการทุกชนิดในกองทัพบก ต่อไปนี้ใครซื้อปืนสวัสดิการ ผู้บังคับบัญชาชั้นนายพล เสธ.เท่านั้นที่จะเซ็น ไม่ใช่แค่ชั้นนายพันเซ็น ซึ่งจะเปิดโอกาสพ่อค้าซื้ออาวุธโดยง่าย โดยกรณีที่ผู้ก่อเหตุมีปืน 5 กระบอก เป็นปืนจากโครงการสวัสดิการจากหน่วยงานอื่น
“ทหารไม่จำเป็นต้องมีปืนส่วนตัว เรามีปืนหลวง มีการแจกจ่ายเบิกรับ แต่เดิมมีไม่รู้กี่โครงการ ทหารมีบ้านมีที่พักให้กำลังพลเพียงพอ ท่านรับราชการ 20-30 ปี ไม่ต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าเช่าบ้าน”พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวอีกว่า การถูกหลอก การเชื่อคนง่าย การอยู่แบบไม่พอเพียง การฟุ้งเฟ้อ ผมไม่ได้ตำหนิ ผมยกตัวอย่างว่า ผู้ก่อเหตุมีปืน 5 กระบอก ซึ่งมีราคาแพง มีไว้เพื่ออะไร บอกแต่ต้น เรามีพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกัน แต่เราอยู่ในที่เดียวกัน รวมอยู่ที่เดียวกัน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/