เสวนาอิศรา-บสส. หาทางรอด ปท. กรณ์ จี้ รบ.ยอมรับ ศก.มีปัญหาจริง แนะแก้ไขด้วยกระจายรายได้
ถ้าเราดูตัวเลขมหภาคพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่ำกว่าเป้ามาหลายปีแล้วด้วยหลายเหตุผลทั้งโคโรนา ค่าเงินบาท ดังน้ันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดีมันเรื่องจริง ไม่ใช่แค่อารมณ์ แม้จะเป็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ อัตราส่วนของกำไรก็เริ่มที่จะชะลอตัวลงแล้ว การแข่งขันก็ลำบากขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่ รายได้ยังคงมาจากการหากินภายในประเทศ แตกต่างจากบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ที่มองเรื่องตลาดนอกประเทศ ในตอนนี้เราประสบปัญหาเรื่องกำลังซื้อที่ลดลง ดังนั้นส่วนของรัฐต้องเปลี่ยนแนวทาง กระจายความเจริญลงท้องถิ่น กระจายงบประมาณ การเข้าถึงโครงการต่างๆของรัฐให้มากกว่านี้
หมายเหตุ:เมื่อวันที่ 1 ก.พ. สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับ ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารสื่อสารมวลชนระดับสูงด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสส.) รุ่นที่ 9 จัดเสวนาเรื่อง “How to รอดอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง” ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 อาคารปฏิบัติการวิทยุโทรทัศน์ บมจ.อสมท.
โดยมีวิทยากรเข้าร่วมงานเสวนาได้แก่ 1.นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2.นายปณิธาน วัฒนายากร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี 3.นายชัยยงค์ สัจจิพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี และ 4. นางกิริฎา เภาวิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
@กรณ์ชี้ประเทศไทยต้องปรับตัวทุกระดับรับสถานการณ์นอกประเทศ จี้รัฐบาลผลักดันงบประมาณให้เร็วที่สุด
โดยนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าในปี 2563 ส่วนตัวก็ยืนยันว่าประเทศไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่และปรับตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในผู้ประกอบการทุกระดับ ในระยะเวลาสั้นๆนั้นส่วนตัวคิดว่าทุกคน ถ้าใครไม่ปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีก็ถือว่าเสียเปรียบ ในประเด็นเรื่องสังคมผู้สูงอายุนั้นก็ต้องยอมรับว่าคนไทยในวัยทำงานมีสัดส่วนน้อยลงเรื่อยๆ สำหรับสถานการณ์ภายนอกประเทศนั้นก็ต้องยอมรับว่ากระทบกับประเทศไทยทั้ง 2 ด้านทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยเฉพาะในการการค้าขายกับต่างประเทศ ดังนั้นประเทศไทยก็ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์โลกด้วย
นายกรณ์กล่าวต่อว่าในส่วนภาครัฐนั้นก็ควรจะมีการกระจายอำนาจ และบริหารเงินงบประมาณ โดยจัดสรรให้ท้องถิ่นให้บริหารงบประมาณเองด้วยเช่นกัน ถ้าหากภาครัฐสามารถสร้างเอกชนให้มีโอกาสทำมาหากินเองก็จะเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้พัฒนาตัวเองได้ ที่ผ่านมามีการพูดว่าปัญหาค่าเงินบาทนั้นเกิดจากการที่เอกชนไม่ได้มีการลงทุนเพิ่ม ดังนั้นภาครัฐก็ควรจะอัดฉีดเงินทุนเพื่อกระตุ้นเพื่อให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนมากขึ้นด้วย
นายกรณ์กล่าวต่อถึงปัญหาด้านไวรัสโคโรน่า ในขณะนี้นั้น รัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์และผลกระทบ ความร้ายแรงให้ดีเพื่อจะออกมาตรการมารับมือกับสถานการณ์ที่เข้มข้นมากกว่านี้ได้
“สำหรับคำถามว่าทางรอดของประเทศนั้น ผมขอพูดว่าสิ่งที่เราต้องทำก็คือมองข้อเท็จจริงกันเป็นหลัก ถ้าเราดูตัวเลขมหภาคพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่ำกว่าเป้ามาหลายปีแล้วด้วยหลายเหตุผลทั้งไวรัสโคโรนา ค่าเงินบาท ดังน้ันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดีมันเรื่องจริง ไม่ใช่แค่อารมณ์ แม้จะเป็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ อัตราส่วนของกำไรก็เริ่มที่จะชะลอตัวลงแล้ว การแข่งขันก็ลำบากขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่ รายได้ยังคงมาจากการหากินภายในประเทศ แตกต่างจากบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ที่มองเรื่องตลาดนอกประเทศ ในตอนนี้เราประสบปัญหาเรื่องกำลังซื้อที่ลดลง ดังนั้นส่วนของรัฐต้องเปลี่ยนแนวทาง กระจายความเจริญลงท้องถิ่น กระจายงบประมาณ การเข้าถึงโครงการต่างๆของรัฐให้มากกว่านี้”นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์กล่าวว่าในปัจจุบันภาคการเกษตรของไทยถือเป็นสิ่งที่จะเติบโตต่อไปได้ เพราะอย่างไรความต้องการอาหารก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ปัญหาคือคนทำจน คนขายรวย ดังนั้นเราต้องมองว่าจะทำอย่างไรคนทำ เกษตรกรจึงจะรวยด้วย ซึ่งตรงนี้ตัวผลักดันที่สำคัญก็คือภาครัฐที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะต้องเร่งทำตอนนี้ก็คือผลักดันงบประมาณให้ออกมาเร็วที่สุด
@'ปณิธาน'ชี้ปิดประเทศสู้โคโรน่าไวรัส เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องคัดวีซ่าคนจีนเข้มข้น รับเฟคนิวส์ปัญหาใหม่
ขณะที่ทางด้านของนายปณิธาน วัฒนายากร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเติบโตของประเทศจีนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี สิ่งนั้นส่งผลทำให้ประเทศไทยจะต้องปรับท่าทีอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะให้สอดคล้องกับสภานการณ์ภายนอกประเทศว่าจะดำเนินนโยบายกันอย่างไร ในช่วงต้นปีนั้นประเทศไทยต้องประสบปัญหาที่เกี่ยวกับความั่นคงทั้งภัยแล้ง ปัญหาฝุ่น ไวรัส ยาเสพติด ปัญหาค้ามนุษย์ ซึ่งหลายประเทศก็ไม่ค่อยรอดกับปัญหาด้านเหล่านี้ แต่ส่วนตัวก็คิดว่าประเทศไทยนั้นมีจุดแข็งที่น่าจะผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ โดยเฉพาะในเรื่องไวรัสโคโรน่า ในขณะนี้ก็เห็นว่าทางด้านนายกรัฐมนตรีก็เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดกันมากขึ้น
นายปณิธานกล่าวต่อว่าสำหรับปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่านั้น ตอนนี้มีหลายคนพูดว่าให้ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยวจีน ตรงนี้ขอเรียนว่ามันมีความซับซ้อนมาก การปิดประเทศตามที่มีการวิจารณ์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่เราอาจจะต้องมาพิจารณาเรื่องการให้วีซ่าคนจีน พิจารณาในเรื่องความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์กับต่างประเทศ เพื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้รวดเร็วขึ้นอันจะส่งผลต่อการรักษาผู้ติดเชื้อได้เร็วขึ้นและสร้างโอกาสรอดได้มากขึ้นตามมาด้วย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่านั้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศแค่ระยะสั้น แต่จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวแน่นอน ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกในเรื่องนี้
นายปณิธานกล่าวว่าแต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวกับทางด้านไวรัสก็คือเรื่องข่าวปลอมที่สมัยก่อนนั้นไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีแค่การให้ข่าวจากทางนายกรัฐมนตรี แล้วนักข่าวก็ไปติดตามข้อมูลจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเอาเอง แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันที่ทุกคนสามารถเป็นนักข่าวได้นั้น ก็จะส่งผลทำให้มีการปล่อยข้อมูลที่ไม่จริงออกมาด้วย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ก็เป็นปัญหาใหม่ๆที่ทางภาครัฐจะต้องรับมือ
@'ชัยยงค์' เผย ไทยรับมือโคโรน่าไวรัสได้ดี แต่ต้องปรับปรุงเรื่องประสานงานระหว่างประเทศ
ส่วนนายชัยยงค์ สัจจิพานนท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซีกล่าวว่าสถานการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะในเรื่องไวรัสโคโรน่านั้นคิดว่าสถานการณ์เหล่านี้ดีขึ้นทุกลำดับโดยเฉพาะในประเทศจีน ดังนั้นคิดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้นตามไปด้วย
นายชัยยงค์กล่าวต่อว่าสำหรับปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่านั้นส่วนตัวมองว่าความสำคัญน่าจะเป็นเรื่องการสร้างความร่วมมือระหว่างแพทย์ หน่วยงานควบคุมโรค สำหรับการดำเนินการของประเทศไทยในตอนนี้นั้นถือว่ามีความเหมาะสมและไม่ช้าแต่อย่างใด ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในปัญหาด้านอื่นๆ การดำเนินการของประเทศไทยอาจจะยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในต่างประเทศมากนัก
@'กลินท์'คาดปีนี้จีดีพีไทยโตไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ จี้กระจายรายได้ลงท้องถิ่น
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าไทยกล่าวว่าเรื่องสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยคงจะไม่ต่ำไปกว่าตอนปี 2562 ได้ โดยเฉพาะว่าถ้าประเทศไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ก็จะมีหลายประเทศที่อยากจะมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในปัจจุบัน ที่ต่างประเทศอาทิ ฮ่องกง ออสเตรเลีย ประสบกับภาวะที่ความไม่มั่นคงด้านความปลอดภัย สำหรับเรื่องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยนั้นส่วนตัวมองว่า ประเทศอย่างญี่ปุ่น จีน ก็วางแผนที่จะย้ายฐานจากประเทศเวียดนามมายังประเทศไทย ดังนั้นคงจะมีโครงการก่อสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นอีกในปี 2563 ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดบวกของประเทศไทยที่ตอนนี้เรามีจุดแข็งเพราะที่ตั้งเราเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ ดังนั้นสรุปก็คือปีนี้การเติบโตของจีดีพีไทย น่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์
“ในตอนนี้การโปรโมตให้คนจับจ่ายใช้สอยให้เร็วที่สุด การโปรโมต การจัดกิจกรรมสัมมนาต่างๆเพื่อจะกระจายรายได้นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องควรกระทำ”นายกลินท์กล่าว
@'กิริฎา' คาดปีนี้วิกฤติยังไม่ร้ายแรง แต่ห่วงโคโรน่า ทำจีดีพีไทยโตน้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่นางกิริฎา เภาวิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)กล่าวว่าส่วนตัวไม่ได้คิดว่าในปีนี้จะมีวิกฤติอะไรเกิดขึ้นจนส่งผลร้ายแรงต่อประเทศไทย แม้ว่าในช่วงต้นปี 2563 จะมีสถานการณ์เกิดขึ้นมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจประเทศไทยก็ยังคงเติบโตอยู่ เพียงแค่โตช้าเท่านั้น ส่วนเรื่องประเด็นค่าเงินบาทที่มีการเป็นห่วงกันว่าค่าเงินนั้นแข็งมากนั้น เพราะเกิดสถานการณ์เรื่องโคโรนาไวรัส ทำให้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้นอ่อนลงมา แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโคโรนาไวรัสนั้นก็ส่งผลร้ายกับประเทศไทย เช่นเรื่องนักท่องเที่ยวจีนที่มาเทียวประเทศไทยลดลงไปประมาณ 2 ล้านคน จะส่งผลทำให้จีดีพีไทยนั้นโตเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่าเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่เลวร้ายไปถึงขั้นที่จีดีพีไทยต้องเติบโตแบบติดลบในปีนี้
“ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจโลกก็เป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่ควรจะวางใจ เพราะว่าในปีนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดังนั้นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐก็จะต้องทำทุกทางเพื่อที่จะเรียกคะแนนเสียง ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่อาจจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น หรืออาจจะส่งผลทำให้เกิดสงครามย่อยจริงๆกับบางประเทศขึ้นมาเพื่อจะเรียกคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็เป็นได้”นางกิริฎากล่าว
@'กรณ์'เชื่อ รบ.ผ่านวิกฤติงบประมาณได้แน่ รับตั้งพรรคใหม่ต้องระวังเรื่องเงินกู้ ยัน 14 ก.พ.รู้ชื่อพรรคการเมืองใหม่
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าหลังจากการเสวนาผ่านพ้นไป ผู้สื่อข่าวที่ทำข่าวงานเสวนาได้สัมภาษณ์นายกรณ์เพื่อสอบถามประเด็นต่างๆเพิ่มเติม โดยนายกรณ์ได้ชี้แจงในประเด็นเรื่องงบประมาณว่าในตอนนี้อยากเห็นทางรัฐบาลและรัฐสภาร่วมกันหาทางออกโดยเร็วที่สุด เพื่อจะผ่านงบประมาณในครั้งนี้ไปได้
“ผมเชื่อว่ารัฐบาลมีแผนแล้วในการขับเคลื่อนงบประมาณออกมาผมคิดว่าหนึ่งในช่องทางที่แน่นอนก็คือการที่รัฐบาลได้ใช้ช่องทางในการออกพระราชกำหนดอย่างน้อยที่สุดในส่วนของงบลงทุน เพราะว่าในส่วนของงบรายจ่ายประจำปีก็สามารถเบิกจ่ายตามงบประมาณในปีที่ผ่านมาได้ ข้อดีของการให้พระราชกำหนดนั้นจะทำให้ทุกภาคส่วนมั่นใจว่าจะส่งผลต่อการใช้งบประมาณได้ทันที ส่วนเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนนั้นก็เห็นกันอยู่ชัดเจนแล้วว่ามันเร่งด่วนหรือไม่อย่างไร”นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์กล่าวต่อว่าส่วนเรื่องการส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของพรรคการเมืองที่ตนได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่นั้น ตรงนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบได้ เพราะขณะนี้พรรคการเมืองก็กำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ยังไม่ได้จดทะเบียนพรรคการเมืองกันหรือตั้งชื่อพรรคการเมืองกันเลย ซึ่งก็คงต้องรอในวันที่ 14 ก.พ.แล้วทางสมาชิกชิกจึงจะคัดเลือกชื่อพรรคการเมืองกันอย่างเป็นทางการ
เมื่อถามว่าพรรคการเมืองที่นายกรณ์ตั้งขึ้นมาใหม่นั้นจะมีการดำเนินการเรือ่งเส้นทางการเงินอย่างไรเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับพรรคการเมืองอื่นๆที่กำลังมีคดีเรื่องเงินกู้ ณ ขณะนี้
นายกรณ์กล่าวว่าในประเด็นเรื่องกฎหมายเพื่อระบุในแหล่งที่มาของเงินทุนพรรคการเมืองนั้นก็เพื่อจะไม่ต้องการให้พรรคการเมืองถูกครอบงำโดยใครคนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการดำเนินการตามกฎหมายตรงนี้มาโดยตลอด ในส่วนของพรรคการเมืองใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นมานั้นก็จะต้องระวังเรื่องเงินกู้ และต้องหาทุนสนับสนุนจากผู้ที่สนับสนุนแนวทางพรรคการเมืองของเรามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งการเมืองใหม่นั้นส่วนตัวเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ แต่ต้องพึ่งพาในการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจในตัวพรรคให้ได้มากที่สุด
“ผมมีความเชื่อว่าการใช้เงินโดยพรรคการเมืองเพื่อช่วงชิง ส.ส.เป็นต้นตอสำคัญทำให้การเมืองเรามีปัญหาอย่างเช่นทุกวันนี้”นายกรณ์กล่าว
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/