สถานการณ์ปัจจุบันโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แนวทางป้องกัน-รักษา
ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อ จะต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบ ใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เข้ามาประกอบการ
วันที่ 29 ม.ค. 63 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุม 401-402 กองวิทยาศาสตร์ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ. สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา เป็นประธานแถลงข่าวให้ความรู้เรื่อง งานแถลงข่าวให้ความรู้เรื่อง “สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 และแนวทางป้องกันและรักษา” โดยมี ศาสตราจารย์ นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ภาคีสมาชิก และ นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลง
สำหรับสาระสำคัญ มีดังนี้
ไวรัสโคโรน่าเป็นไวรัสขนาดใหญ่ และเป็นกลุ่มใหญ่ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ จึงเรียกว่า "ไวรัสโคโรน่า" พบได้ทั้งใน คน และ สัตว์ จำนวนมาก
ไวรัสโคโรน่า ที่เกิดโรคในคน แต่เดิมมี 6 สายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ที่พบดั้งเดิม ทำให้เกิดโรคหวัด และทางเดินหายใจอยู่ประจำถิ่น แล้ว มี 4 ชนิด และอุบัติใหม่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ แบบเฉียบพลันคือ SARS และ MERS ซึ่งเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 10 และร้อยละ 30 ตามลำดับ
โรคปอดบวมอู่ฮั่น อุบัติใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2019 เป็นต้นมา และวินิจฉัยได้หลังปีใหม่ ถอดรหัสพันธุกรรมสำเร็จในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2020 จุดกำเนิดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่พบ ส่วนใหญ่มีแหล่งสัมผัสจากตลาดสดที่มีการขายอาหารทะเล และสัตว์สิ่งมีชีวิต แต่ความเป็นจริงอาจจะก่อนหน้านั้น เพราะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่ได้สัมผัสตลาดเลย จึงน่าจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ มีได้ทั้งแบบไม่มีอาการ (เป็นส่วนใหญ่) มีอาการทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน จนถึงปอดบวมและโรคแทรกซ้อน (เป็นส่วนน้อย) เหมือนภูเขาน้ำแข็ง
ระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปไวรัสโคโรน่า จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน อาการที่ต้องสงสัย คือ ผู้ที่มาจากแหล่งระบาดของโรค ร่วมกับอาการ ไข้ และอาการระบบทางเดินหายใจ เช่นมี น้ำมูก ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ในรายที่รุนแรง จะมีปอดอักเสบ หรือปอดบวมเกิดขึ้น และทำให้ระบบหายใจล้มเหลวถึงกับเสียชีวิตได้ แต่ส่วนมากอาการไม่รุนแรงเหมือนไข้หวัดใหญ่ โรคนี้สามารถติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ จึงเกิดการแพร่กระจายได้
ไวรัสโคโรน่า มีความรุนแรงน้อยกว่า MERS และ SARS
การยืนยันผลการวินิจฉัย จำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหาพันธุกรรมของไวรัส ความรุนแรงของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จะมีความรุนแรงน้อยกว่า MERS และ SARS น่าจะอยู่ที่น้อยกว่าร้อยละ 2 หรือร้อยละ 1 ในเมื่อโรครุนแรงน้อย ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้ออีกจำนวนมาก ที่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่ได้เป็นปอดบวมทุกราย ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถเดินทางไปได้ไกล และสามารถแพร่โรคได้ ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง และสามารถระบาดข้ามทวีป ทั่วโลกได้ เช่นเดียวกับโรคระบาดทั่วไป
การกระจายของโรค จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และอำนาจในการกระจายโรค โรคที่มีความรุนแรงน้อย จะกระจายได้มากกว่า การติดเชื้อในอากาศ จะกระจายได้มากกว่าการติดเชื้อด้วยการสัมผัสฝอยละออง ปอดบวมอู่ฮั่น เป็นโรคที่ติดโดยการสัมผัสฝอยละออง เมื่อเป็นโรคใหม่ ทุกคนไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้เท่ากันทุกคน ถ้าสัมผัสโรค ส่วนความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับอายุ ในเด็กความรุนแรงของโรคจะน้อยกว่า ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หรือกล่าวได้ว่า ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามอายุนั้นเอง
การระบาดของโรค โรคจะหยุดเมื่อมีการติดเชื้อไปจำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอำนาจการกระจายของโรค ถ้าอำนาจการกระจายของโรค เท่ากับไข้หวัดใหญ่ คือ 1 คนกระจายไปได้ 2 คน เมื่อมีผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิต้านทานแล้วอย่างน้อย ร้อยละ 50 โรคจะสงบ หลังจากนั้นไวรัสนี้ ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น (endemic) หรือตามฤดูกาลต่อไป (seasonal) และการติดเชื้อจะเกิดการระบาดได้เป็นหย่อมอย่าง เช่นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดมา 10 ปีแล้ว โรคนี้ก็ยังไม่หยุด ยังมีการระบาดในนักเรียนอยู่เป็นระยะในประเทศไทย ขณะนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสใช้รักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน
การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือสัมผัสให้น้อยที่สุด การล้างมือจะป้องกัน การติดเชื้อได้เป็นอย่างดี “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” จึงยังใช้ได้เสมอในการป้องกันโรค ที่ติดต่อทางฝอยละออง การเดินสวนกันไปมา ไม่ติดโรคนี้ แต่การอยู่ในระยะใกล้ ในการพูดคุยหรือมีการจาม และมีฝอยละอองกระเด็นมาถูกบริเวณใบหน้า จะทำให้เกิดการติดโรคได้ การสัมผัสจะต้องหมั่นล้างมือ ผู้ที่ไม่สบายเป็นโรคทางเดินหายใจทุกราย ควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค สำหรับคนปกติ ถ้าต้องการป้องกันโรค การใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 ต้องใช้ให้ถูกวิธี บุคลากรทางการแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องใช้ รวมทั้งชุดในการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรค
ในภาวะปกติที่โรคยังไม่ระบาด ควรดำเนินชีวิตแบบปกติ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ใครมีโรคประจำตัวก็หมั่นดูแลรักษา ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อ จะต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบ ใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เข้ามาประกอบการ
การระบาดอย่างรวดเร็วของโรคปอดบวมอู่ฮั่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
โรคนี้ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีผู้ป่วยจำนวนมาก (รวม 6,000 คนแล้ว) (29 มกราคม 2563) รวดเร็วกว่า SARS หลายเท่า โรค SARS เริ่มเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน กว่าจะไปเริ่มระบาดจริงๆในเดือนกุมภาพันธ์ และระบาดมากในมีนาคม และเมษายน 2003 ก็ไม่เร็วเท่าโรคปอดบวมอู่ฮั่น จำนวนผู้ป่วย SARS ใช้เวลา 7-8 เดือน มีผู้ป่วยทั้งหมดประมาณ 8,000 ราย โรคก็สงบ
สาเหตุที่เชื่อว่าโรคนี้จะระบาด เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. การระบาดในประเทศจีนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่รู้ว่ามีผู้ป่วยปอดบวมพร้อมกัน 41 คน ในขณะนั้นการระบาดเป็นการรับช่วง จากผู้ป่วยส่งต่อกันมาถึง 4 ชั้น (generation) ผู้ป่วยคนแรกไม่น่าจะมาจากตลาดขายของสด ในช่วงเวลาขณะนั้น เพราะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่ได้สัมผัสตลาดนี้เลย
2. ความรุนแรงของโรคนี้น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับ SARS และ MERS อัตราตายของโรคนี้ ถ้าดูจำนวนเปอร์เซ็นต์จะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เชื่อว่าน่าจะน้อยกว่าร้อยละ 1 หรืออาจจะอยู่ที่ 1 ใน 1,000 จากผู้ป่วยที่เป็นนอกประเทศจีน ร่วม 100 คนไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย เพราะการวินิจฉัยจะทำได้ดีและรวดเร็วขึ้น และยอดผู้ป่วยที่แท้จริงจะมีมากกว่าผู้ป่วยที่รายงานมาก ตัวเลขอัตราการตาย ก็จะค่อย ๆลดลงเหมือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ในปี 2009
3. การนับจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต จะเพิ่มขึ้น และเชื่อว่า อีก 1-2 เดือนต่อไป ก็จะไม่มีการนับจำนวนแล้วเช่นเดียวกับการระบาดไข้หวัดใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน พอไปถึงระยะหนึ่งก็เลิกนับจำนวน
4. เมื่อโรคมีความรุนแรงน้อย จึงมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และยังแพร่กระจายโรคได้ มีการเดินทาง จึงทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้อย่างรวดเร็ว
5. ขณะนี้ มีผู้ป่วยที่ไม่ได้ไปสัมผัสในประเทศจีน เกิดขึ้นในหลายประเทศเช่น เวียตนาม ญี่ปุ่นและเยอรมัน ดังนั้น ก็จะพบได้อีกในหลายประเทศต่อไป รวมทั้งอาจจะเกิดในประเทศไทยได้
6. ความรุนแรงเหมือนไข้หวัดใหญ่ การระบาดจึงเหมือนไข้หวัดใหญ่ ที่พร้อมจะกระจายข้ามทวีป และกระจายไปทั่วโลก อย่างเช่นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือนก็กระจายไปทั่วโลก
เราต้องยอมรับความจริง โรคนี้ระบาดแน่ในประเทศไทย และทุกประเทศ แต่ก็ควรมีมาตรการให้ระบาดช้าที่สุด เพื่อรอองค์ความรู้ใหม่ และข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับโรคนี้ เราไม่อยากเห็นการระบาดอย่างรวดเร็ว การตั้งรับ การทำงานของบุคลากรสาธารณสุข ความสับสน การทำงาน จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก เราไม่อยากเห็นการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามแบบจีน การระบาดเมื่อประชากรเป็นแล้ว มีภูมิถึงระดับหนึ่ง โรคก็จะสงบ
ไม่ควรตื่นตระหนก เพราะดูความรุนแรงของโรคแล้ว น่าจะอยู่ในระดับของไข้หวัดใหญ่ ไม่มีใครอยากป่วย ทุกคนจะต้องช่วยกันป้องกัน และลดการแพร่กระจายให้ช้าที่สุด เพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด ลดการตื่นตระหนก ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะยังมาซึ่งความลำบากของประชาชนทุกคน หน้าที่ดังกล่าวจึงเป็นของคนทุกที่ต้องช่วยกัน
การล้างมือ จะช่วยป้องกันโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ โดยล้างมือด้วยสบู่อย่างถูกต้องจะช่วยลดการติดเชื้อปอดบวมอู่ฮั่นได้ และให้คำนึงว่าควรจะล้างทุกครั้งหลังอาการไอหรือจาม ล้างทุกครั้งที่มาถึงที่ทำงาน ล้างทุกครั้งเมื่อกลับจากที่ทำงาน ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ล้างมือก่อนเตรียมอาหารหรือปรุงอาหาร ล้างมือก่อนจับต้องใบหน้า ล้างทุกครั้งเมื่อออกจากห้องน้ำ ล้างทุกครั้งเมื่อจะจับต้องหรืออุ้มเด็ก ล้างทุกครั้งเมื่อจับกับสัตว์หรือสัตว์เลี้ยง ล้างทุกครั้งเมื่อสัมผัสกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ล้างทุกครั้งเมื่อคิดว่ามือสกปรก ฯลฯ
ไม่ต้องกลัวใครจะว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ถ้าไม่สามารถล้างได้ ให้ใช้แอลกอฮอล์หรือแอลกอฮอล์เจลทำความสะอาด เมื่อเวลาไอหรือจามไม่ควรใช้มือปิดปากจมูก ควรใช้ต้นแขนใช้เสื้อผ้าเรา ปิดปากจมูก เพราะถ้าใช้มือเราอาจจะใช้มือไปจับต้องสิ่งของ เช่น ในรถไฟฟ้า ก็จะแพร่กระจายโรคทางระบบทางเดินหายใจได้