'สมคิด' กระตุ้นรัฐ-เอกชน ปลดชนวน 'ระเบิด' เศรษฐกิจ 3 ลูก
'สมคิด' กระตุ้นภาครัฐและเอกชน ปลดชนวนระเบิดเศรษฐกิจ 3 ลูก 'ส่งออกทรุด-ลงทุนไม่ขยับ-บาทแข็ง' ย้ำเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC ดึงต่างชาติย้ายฐานาการผลิตเข้ามาในไทย พร้อมระบุ 5G ต้องเกิด บอก 'ฐากร' เปิดประมูลไม่เน้นรายได้
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในงาน ‘2020 ปีแห่งการลงทุน ทางออกประเทศไทย’ จัดโดยหนังสือพิมพ์มติชน โดยระบุตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าไปได้ดีพอสมควร และมีการวางรากฐานค่อนข้างดี ซึ่งก็ได้แต่หวังว่ารากฐานเหล่านี้จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนประเทศให้ทันสมัย ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทย
"เมื่อมาถึงจุดเปลี่ยน เราก็มีการเลือกตั้งสมใจ เรามีรัฐบาลใหม่ แม้ว่าจะใช้เวลา 7 เดือนหลังจากประกาศเลือกตั้ง แต่เมื่อมีรัฐบาลใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3/2562 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว พร้อมๆกับภาวะตึงเครียดทางการค้า ทำให้ไตรมาส 4/2562 เราเจอพายุพอสมควร ถ้าจะเรียกว่าเป็นระเบิด ก็เรียกได้ ผมมองว่าเป็นระเบิด 2 ลูกที่มันผ่านไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังคาราคาซังอยู่" นายสมคิดกล่าว
นายสมคิด อธิบายว่า สำหรับระเบิดลูกแรก เป็นระเบิดที่อยู่เหนือน้ำและเห็นได้ชัด นั่นก็คือเรื่องการส่งออก โดยในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะในเดือนพ.ย.2562 การส่งออกไทยติดลบ 7.7% และสาเหตุที่การส่งออกไทยลงลึกขนาดนี้ เป็นเพราะว่าสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของไทยอยุู่ในห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงกับจีนและตลาดโลก เช่น รถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
"เมื่อส่งออกลง และการส่งออกมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของจีดีพี มันสะเทือนแน่นอน นี่คือระเบิดที่เราเห็นชัดๆ แม้ว่าจะเริ่มมีข่าวดีว่าเขาตกลงกันได้ จะมีการลงนามกันแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันคลี่คลาย เพราะปัจจัยนี้เราแก้ยากจริงๆ ก็หวังว่าพี่ทรัมป์ (โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ) จะให้ความกรุณากับโลกเราบ้าง" นายสมคิดกล่าว
ส่วนระเบิดลูกที่ 2 เป็นระเบิดใต้น้ำและเป็นระเบิดลูกเล็กๆหลายลูก ซึ่งก็คือการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวได้ช้ามาก โดยหลายโครงการที่รัฐบาลต้องการให้เดินหน้า เพื่อสร้างมัลติพลายเออร์ในระบบเศรษฐกิจ แต่จะพบว่าการลงทุนเหล่านี้เคลื่อนตัวช้ามาก เช่นเดียวกับการจัดทำงบประมาณแผ่นดินที่ล่าช้า ซึ่งส่งผลให้การเบิกจ่ายงบปี 2563 ที่เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค.2562 เป็นต้นมา ออกมาชนิดที่เรียกว่ากระปริบกระปรอยจริงๆ โดยเฉพาะงบลงทุนภาครัฐแทบจะลงทุนไม่ได้เลย
"งบลงทุนมีการเบิกจ่ายเฉพาะโครงการที่ลงนามสัญญาไปแล้ว คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 5 หมื่นล้านบาท แต่งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเครื่องจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่สามารถหมุนตามในสิ่งที่ควรจะหมุนได้ ดังนั้น แม้ว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคจะค่อยๆฟื้นตัว และการท่องเที่ยวฟื้นตัวแล้วเช่นกัน แต่พอเจอระเบิดลูกนี้ ก็ทำให้ไตรมาส 4/2562 หรือไตรมาส 1 ของปีงบ 2563 มีการเบิกจ่ายงบทั้งหมดเพียง 23% และเป็นการเบิกจ่ายงบลงทุนเพียง 8% เท่านั้น" นายสมคิดกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/2563 หรือไตรมาส 2 ของปีงบ 2563 (ม.ค.-มี.ค.2563) สำนักงบประมาณตั้งเป้าว่าจะเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งงบประจำและงบลงทุนให้ได้ 54% หรือไตรมาส 2 ของปีงบ 2563 ไตรมาสเดียว จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณคิดเป็นเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท และเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ของปีงบ 2563 (เม.ย.-มิ.ย.2563) จะเบิกจ่ายงบให้ได้กว่า 70% และเบิกจ่ายทั้ง 100% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีงบ 2563 หรือก่อนเดือนก.ย.2563
"ตามแผนงานการใช้จ่ายภาครัฐ หรือตัว G จะลงค่อนข้างเยอะ และในภาครัฐวิสาหกิจที่มีงบเยอะ การลงทุนแข็งแรง อย่างเมื่อ 2 เดือนของปีที่แล้ว รัฐวิสาหกิจมีงบลงทุนค้างอยู่ 1 แสนล้านบาท เราก็ไล่งบลงทุนเหล่านี้ลงไปได้พอสมควร และบ่ายวันนี้ (15 ม.ค.) ผมจะไปไล่ว่าแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นอย่างไรบ้าง ก็จะไปขอเขา ไม่อยากให้ช่วงนี้การเบิกจ่ายงบลงทุนซึมลงไป เพราะในระบบต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงที่เพียงพอ ซึ่งหวังว่าจะได้รับความร่วมมือ และนี่คือระเบิดที่เราต้องแก้" นายสมคิดกล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า การส่งออกที่ติดลบและการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า ยังทำให้เกิดระเบิดลูกใหม่ คือ ระเบิดค่าเงินบาท โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2562 ค่าเงินบาทแข็งเอาๆ และหากจะบอกว่าเป็นเพราะเงินไหลเข้ามาเล่นหุ้นอย่างเดียวคงไม่ใช่ แต่เป็นเพราะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้น จึงขอเรียกร้องให้เอกชนลงทุน เพื่อช่วยแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า แทนที่จะไปกดดันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้แก้ปัญหาเพียงฝ่ายเดียว
"ทุนสำรองฯของเราบวม เพราะแทนที่ส่งออกได้ แล้วจะนำเข้า ซื้อของ แต่พอทุกคนเห็นเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ ขอเก็บไว้ก่อนดีกว่า ทำให้การลงทุนเอกชนนิ่งมาก ขนาดขอร้องแล้วขอร้องอีก ขอให้คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ช่วยหน่อย กระทุ้งหน่อย เพราะเงินบาทแข็งอย่างนี้แล้วคุณไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่ใช่ ควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ขอให้ช่วยกัน แทนที่จะลงทุนในต่างประเทศ ก็ขอให้มาลงทุนในประเทศบ้าง และยิ่งตอนนี้การลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่ม เงินบาทก็ยิ่งแข็ง" นายสมคิดระบุ
นายสมคิด บอกด้วยว่า โจทย์ที่ตั้งขึ้นว่าการลงทุนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสากิจ จะเป็นทางออกของประเทศไทยเป็นความจริง เพราะนอกจากการลงทุนจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยทำให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนต้องลงทุนในสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี หากจัดการให้ดีการลงทุนดังกล่าวจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรม S-Curve
"ถ้าคุณไม่ลงทุนเลย แล้วบอกว่าเศรษฐกิจต้องหมุน ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินบาทต้องอ่อน ผมว่าต้องคิดกันใหม่ กกร.ต้องไปคิดใหม่ว่า จะร่วมมือกันอย่างไรในอนาคตข้างหน้า และการลงทุนไม่ใช่สักแต่ว่าลงทุน คุณจะเป็นอะไรในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับการลงทุนของคุณ ตรงนี้บีโอไอต้องกล้าหาญ ต้องเฉียบแหลม เพราะบีโอไอเป็นหางเสือคัดท้าย ไม่ใช่สภาพัฒน์ ส่วนสภาพัฒน์ฯต้องผ่าตัดด่วน ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ทำนายเศรษฐกิจ ทำนายแล้วก็ผิดๆ ต้องทำในเชิงพัฒนาร่วมกับบีโอไอ" นายสมคิดระบุ
นายสมคิด ยังกล่าวว่า ในอีก 5-6 ปีข้างหน้าสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้วางไว้ เช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ และเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศและการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ไทยแข่งขันได้ในอนาคต
"ตอนนี้ EEC เกิดแล้ว ทีแรกผมกลัวมากว่ามันจะไม่เกิด ตอนนี้รถไฟเดิน แหลมฉบังเดิน มาบตาพุดเดิน และอีกแค่ 2 วันก็จะรู้แล้วว่าอู่ตะเภาใครได้ ซึ่งโครงการหลักๆถ้ามันเดิน แต่ไม่ได้หมายว่าเดินปั๊บรุ่งเรืองปั๊บ ไม่ใช่ แต่เป็นตัวการันตีให้ต่างชาติรู้ว่าคนไทยเราไม่ใช่ว่าฝอยนะ เมืองไทยเราทำจริง 4 โครงการนี้ รวมทั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ถ้าทำได้ หมายความว่ามันเดินแล้ว คนที่มาก็ตัดสินใจถูกแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ตัดสินใจ เขาก็มีสิทธิที่จะมาที่เรา" นายสมคิดกล่าว
นายสมคิด ยังระบุว่า ปีนี้ 5G ต้องมา เพราะเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย 5G มาแน่ แต่หากถามเอกชนไทยเมื่อคิดถึง 5G เขาก็ไม่อยากประมูล เพราะเห็นมูลค่าแล้วก็ตกใจ ของเก่ายังไม่สร้างกำไรของใหม่มาอีกแล้ว ดังนั้น ตนจึงได้บอกกับนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) ว่า ไม่ต้องเน้นรายได้ แต่ให้เน้นที่แอพลิเคชั่นว่า คนไทยจะได้อะไร ซึ่งนายฐากรบอกว่า จะประมูลให้ได้ในเดือนก.พ.-มี.ค.นี้
อ่านประกอบ : 'รื้อบอร์ด-งบบาน-ขาดเงิน' ถ่วงลงทุนเมกะโปรเจกต์ปี 62 รบ.ประยุทธ์ 'ติดหล่ม'
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/