ซินเจียง กับความสำเร็จในการต่อต้านภัยก่อการร้าย
ช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่ซินเจียงไม่เกิดเหตุความรุนแรงและก่อการร้ายขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธ์ได้รับหลักประกันขั้นพื้นฐานทั้งด้านสิทธิในชีวิต สุขภาพ และการพัฒนาฯลฯ ชาวซินเจียงได้หลุดพ้นจากความหวาดระแวงที่เคยอยู่ภายใต้ภัยคุกคามของลัทธิก่อการร้ายสุดโต่ง และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างงดงามที่มีความสันติ มั่นคง มั่งคั่ง และได้รับการพัฒนา
เมื่อเร็วๆ นี้ สังคมโลกค่อนข้างพุ่งความสนใจเพิ่มขึ้นในประเด็นของซินเจียง ซึ่งเป็นกิจการภายในของประเทศจีน ข้าพเจ้ายินดีที่จะอธิบายถึงสถานการณ์ของซินเจียงให้ประชาชนชาวไทยได้รับรู้ดังนี้
ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ประชาชุนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในซินเจียงต้องทนทุกข์ทรมานจากลัทธิความรุนแรงอันสุดโต่งและลัทธิการก่อการร้ายมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 9 ในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ในพื้นที่ซินเจียงเคยเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและการก่อการร้ายขึ้นหลายพันคดี ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์นับพันคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างปกติวิสัย
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซินเจียงได้ดำเนินมาตรการรับมือสถานการณ์ด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน นั่นคือการมุ่งป้องกันและขจัดการเผยแพร่ลัทธิความรุนแรงอย่างสุดโต่งและลัทธิการก่อการร้ายที่ต้นเหตุ มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับกฎหมายของประเทศจีน และยังสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ใช้กันทั่วไปในระดับสากล โดยที่ซินเจียงได้จัดตั้งศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมทักษะวิชาชีพ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูก“ล้างสมอง”และได้รับผลกระทบจากลัทธิความรุนแรงสุดโต่งและภัยก่อการร้าย รวมทั้งเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพของพวกเขา หาใช่ “ค่ายกักกัน” ดังที่มีผู้กล่าวหาไม่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซินเจียงได้ประสบความสำเร็จในการต่อต้านภัยก่อการร้ายและความรุนแรงสุดโต่ง จนเป็นผลงานที่ประจักษ์ เป็นความจริงที่เหนือกว่าวาทกรรมใดๆ ในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่ซินเจียงไม่เกิดเหตุความรุนแรงและก่อการร้ายขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธ์ได้รับหลักประกันขั้นพื้นฐานทั้งด้านสิทธิในชีวิต สุขภาพ และการพัฒนาฯลฯ ชาวซินเจียงได้หลุดพ้นจากความหวาดระแวงที่เคยอยู่ภายใต้ภัยคุกคามของลัทธิก่อการร้ายสุดโต่ง และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างงดงามที่มีความสันติ มั่นคง มั่งคั่งและได้รับการพัฒนา
เมื่อปีที่แล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามณฑลซินเจียงเพิ่มขึ้น 40% ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)เพิ่มขึ้นมากกว่า 6% สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาได้รับหลักประกันอย่างเต็มที่ ซึ่งในพื้นที่ซินเจียงมีสถานประกอบกิจกรรมทางศาสนามากกว่า 28,000 แห่ง มีครูสอนศาสนากว่า 30,000 คน ค่าเฉลี่ยชาวมุสลิม 350 คนมีมัสยิด 1 แห่ง ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงกว่าประเทศมุสลิมหลายๆ ประเทศ
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้แต่สื่อตะวันตกหลายสำนักที่ไม่ปรารถนาดีก็ตาม
เรื่องของซินเจียงนั้น เป็นกิจการภายในของจีนล้วนๆ สื่อบางแห่งได้ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อสร้างกระแสประโคมข่าวปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซินเจียง สาดโคลนใส่ร้ายต่อความพยายามในการต่อต้านภัยก่อการร้ายในซินเจียง ยังมีนักการเมืองบางคนถึงกับไปพบปะหารือกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน “เตอร์กิสถานตะวันออก”อย่างประเจิดประเจ้อ แถมมีพฤติกรรมสนับสนุนขบวนการ “เตอร์กิสถานตะวันออก” อย่างออกนอกหน้า
พวกเขาเหล่านี้พยายามที่จะสร้าง “ข่าวปลอม” แต่ก็ถูกตบหน้าประจานด้วยข้อเท็จจริงหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งคนเหล่านี้ได้สูญสิ้นทั้งความซื่อสัตย์และคุณธรรมจริยธรรม
สภาผู้แทนราษฎรของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมายที่ใช้ชื่อว่า “กฎหมายว่าด้วยนโยบายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ปี 2019” ซึ่งเป็นการจงใจให้ร้ายสภาพสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียงของประเทศจีน และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีต่อความพยายามของประเทศจีนในการขจัดลัทธิความรุนแรงสุดโตงและปราบปรามภัยก่อการร้ายที่เกิดขึ้นภายในประเทศจีน แถมยังโจมตีนโยบายในการแก้ไขปัญหาซินเจียงของรัฐบาลจีนด้วยใจคอที่เหี้ยมโหด อันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและทำลายหลักการพื้นฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง แสดงพฤติกรรมแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีนอย่างป่าเถื่อน ซึ่งประเทศจีนต้องขอแสดงท่าทีเคืองแค้นและต่อต้านพฤติกรรมเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงนั้น ไม่ใช่ปัญหาสิทธิมนุษยชน หรือปัญหาชาติพันธุ์ หรือปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาใดๆ แต่เป็นปัญหาการแก้ไขเหตุการณ์ความรุนแรงและการก่อการร้าย และต่อต้านการแบ่งแยกดินแดน
เราต้องขอแจ้งเตือนให้ฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้ทราบด้วยว่า กิจการในมณฑลซินเจียงนั้น เป็นกิจการภายในของประเทศจีนล้วนๆ ไม่อาจยอมรับการแทรกแซงใดๆ จากต่างประเทศ ทางสหรัฐอเมริกาได้ใช้ร่างกฎหมายข้างต้นเพื่อใส่ร้ายป้ายสีต่อมาตรการของประเทศจีนในการต่อต้านภัยก่อการร้ายและขจัดลัทธิความรุนแรงอย่างสุดโต่งนั้น มีแต่จะแสดงถึงสองมาตรฐานในประเด็นปัญหาการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกา และทำให้ประชาชนชาวจีนจะได้ประจักษ์ในภาพลักษณ์อันจอมปลอมหลอกลวงและจิตใจอันเลวทรามชั่วช้าของฝ่ายอเมริกา
รัฐบาลและประชาชนของประเทศจีน มีความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอำนาจอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติ แม้ว่าฝ่ายสหรัฐอเมริกาจะใช้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงมาทำการยุยงปลุกปั่นให้แตกความสามัคคีระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ของประเทศจีน หรือเพื่อต้องการทำลายความมั่นคงและมั่งคั่งของซินเจียง หรือจะต้องการยับยั้งการพัฒนาสู่ความแข็งแกร่งของประเทศจีนก็ตาม ล้วนไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้อย่างแน่นอน เราขอเตือนให้ฝ่ายสหรัฐอเมริการีบแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ยับยั้งกระบวนการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว และหยุดใช้ประเด็นปัญหาซินเจียงมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีน ซึ่งประเทศจีนจะเฝ้าสังเกตสถานการณ์และทำการตอบโต้อย่างทันท่วงทีต่อไป
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บางประเทศใช้เครื่องมือสองมาตรฐาน นำเอามาตรการต่อต้านภัยก่อการร้ายมาเป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลทางการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ผลก็คือภัยก่อการร้ายกลับยิ่งรุนแรงกว่าเดิม ถึงขั้นนำไปสู่ความหายนะในภูมิภาค
การต่อต้านลัทธิก่อการร้ายในซินเจียงของประเทศจีน เน้นขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยพึ่งมาตรการปรับปรุงคุณภาพชีวิต แก้ไขทั้งต้นเหตุและปลายเหตุควบคู่กัน สร้างหลักประกันแห่งความผาสุขของประชาชน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ได้มีกลุ่มองค์กรต่างชาติกว่า 70 คณะเดินทางไปศึกษาดูงานที่ซินเจียง สัมผัสด้วยสายตาของตนเอง ซึ่งได้เห็นถึงสถานการณ์ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรื่องในการพัฒนาซินเจียง ซึ่งคณะชาวต่างชาติล้วนแสดงความชื่นชมต่อผลงานความสำเร็จในการต่อต้านภัยก่อการร้ายและขจัดลัทธิความรุนแรงอย่างสุดโต่งในพื้นที่ซินเจียง โดยเห็นว่า เป็นประสบการณ์ความสำเร็จที่ควรค่าแก่การนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น วิญญูชนย่อมมีความยุติธรรมประจำใจ
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้แทนกว่า 60 ประเทศได้แสดงท่าทีสนับสนุนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงของรัฐบาลจีน ผ่านการปราศรัยในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ รวมถึงแสดงท่าทีต่อต้านการกระทำของชาติตะวันตกบางประเทศที่ใช้ "สิทธิมนุษยชน" เป็นข้ออ้างเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีน หรือนำเอาปัญหาสิทธิมนุษยชนมาขยายความให้เป็นประเด็นทางการเมือง ในบรรดาผู้นำ 60 กว่าประเทศนี้ มี 30 กว่าประเทศเป็นประเทศอิสลาม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ในประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาของซินเจียงนั้น ใครถูกใครผิดสังคมย่อมแก่ใจ
กลอุบายใดๆ ที่มุ่งใส่ร้ายป้ายสีต่อประเทศจีนในความพยายามแก้ไขปัญหาภัยก่อการร้ายและลัทธิความรุนแรงสุดโต่งในซินเจียง ย่อมไม่อาจสัมฤทธิ์ผล รวมถึงกลอุบายใดๆ ที่คิดจะแอบอ้างปัญหาซินเจียงมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีน เพื่อทำลายการพัฒนาสู่ความมั่นคงมั่งคั่งของซินเจียง ย่อมต้องแพ้ภัยตนเองอย่างแน่นอน ประเทศจีนจะยังคงดำเนินงานกิจการภายในของตนเองให้ดีต่อไป ยังคงขับเคลื่อนนโยบายบริหารปกครองซินเจียง เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่ง สร้างความสามัคคีระหว่างชนชาติต่างๆ สร้างซินเจียงให้เกิดความสมานฉันท์ นี่แหละคือการตอบโต้ที่ทรงพลังที่สุดต่อข่าวลือและคำใส่ร้ายป้ายสีที่มีต่อเรา