นักกฎหมาย ชี้ต้านข่าวปลอมทำยาก กรองได้หมดทุกแพลตฟอร์ม ต้องใช้เครื่องมือไฮเทค
ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ชี้รัฐทั่วโลกกำลังหลงทาง ออกกม.ควบคุมข่าวปลอม อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุ ขณะนี้ปชช.ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติในโซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผู้สูงอายุแพร่กระจายข้อมูลคลาดเคลื่อน ด้าน 'สุภิญญา' หนุนรมว.ดีอี ทำเอ็มโอยูกับทุกพรรคการเมือง หวังให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหา ไม่เผยแพร่ข่าวลวง
วันที่ 17 พ.ย.62 ที่ห้องอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาหัวข้อ "จุดกึ่งกลางจัดหารปัญหา Fake News" โดยมี น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษากฎหมาย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เป็นวิทยากรผู้บรรยาย
น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงสังคมปัจจุบันเป็นสังคมเสมือน โดยสมัยก่อนจะมีแหล่งข่าว แต่ตอนนี้แหล่งข่าวมาจากทุกที่ ไม่มีการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะสังคมโซเชียลมีเดียไม่มีใครตรวจสอบได้ ทำให้ไม่รู้ว่าส่งข้อมูลใดเป็นจริงหรือปลอม แต่หน่วยราชการมองข่าวปลอม เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน จะถือว่าข่าวนั้นทำให้เกิดผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ที่ต้องชี้แจงในการสื่อสารกับสาธารณะ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน โดยมีหน่วยงานกลางมาตรวจสอบ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่มาจากหน่วยงานอิสระหน่วยงานองค์กรสื่อ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเข้ามาตรวจสอบว่า ข่าวใดเป็นข่าวปลอม อาทิ มีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์น้ำท่วมอุบลราชธานีซึ่งเป็นภาพในอดีต แต่จะถือว่าเป็นข่าวปลอม ทำให้ต้องชี้แจงออกไป
น.อ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า วันนี้การบังคับใช้กฎหมายไม่สามารถดูแลประชาชนในโซเชียลมีเดียได้ แต่จะคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบ โดยจะเน้นการบังคับใช้กฎหมายปกติ ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติในโซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ส่วนใหญ่มาจากผู้มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปที่กระจายข้อมูลข่าวสารไปเรื่อยๆ จะเกิดผลกระทบทันทีในทางกฎหมาย ดังนั้นทำอย่างไรจะทำความเข้าใจไม่ให้เกิดผลกระทบ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข่าวนั้นคอยชี้แจงให้ประชาชนทันทีภายใน 2 ชั่วโมง รวมถึงประสานให้เจ้าของแพลตฟอร์มนำข่าวปลอมนั้นๆ ออกจากระบบ
"ยืนยันศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่ใช่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพราะต้องทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชน แต่ต้องไปตรวจสอบว่า มีกระบวนการจัดทำขึ้นหรือไม่ เพื่อนำหลักฐานให้กับหน่วนงานรัฐดำเนินการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ ทั้งหมดทำงาน 24 ชม. ไม่มีทหาร ตำรวจ แต่เป็นบุคคลเชี่ยวชาญด้านนี้มาทำหน้าที่ ส่วนเรื่องบุคคลการเมือง ดารา เรื่องส่วนบุคคลจะไม่แตะต้อง ทำเรื่องที่ผลกระทบกับสังคมในวงกว้างเท่านั้น และสามารถตรวจสอบการทำงานได้ทุกขั้นตอน ซึ่งข่าวที่มีผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยาเสพติด ภัยพิบัติ เศรษฐกิจ"น.อ.สมศักดิ์ กล่าว
ขณะที่นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษากฎหมาย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ไม่ว่าข่าวปลอมจริงหรือเท็จอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน เหมือนพูดว่า อะไรคือสีขาวหรือไม่ขาว ซึ่งมีการมองแตกต่างกัน แต่เมื่อรัฐเข้ามามองข่าวจริงหรือปลอม แต่หากรัฐมองว่า เป็นข่าวเท็จแล้วบอกประชาชน ทั้งที่ในเรื่องข้อมูลข่าวสารจะมีความเห็นเข้ามาร่วมด้วย โดยเวลาพูดถึงข่าวปลอมในความหมายที่ประชาชนเข้าใจ ซึ่งไม่มีมาตรฐานที่พอใจเพราะเป็นหลักเกณฑ์ที่ยากมาก
"รัฐทั่วโลกกำลังหลงทางการที่จะออกกฎหมายควบคุมข่าวปลอม ทำให้ทุกรัฐต้องเลี่ยงการออกกฎหมายที่เข้มงวดที่มีบทลงโทษค่อนข้างสูง เพราะในโลกปัจจุบันบังคับไม่ได้แล้ว ยิ่งปิดคนยิ่งอยากรู้ว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ทำให้การบล็อคไม่ใช่คำตอบ" นายไพบูลย์ กล่าว และว่า จุดกึ่งกลางข่าวปลอม รัฐกับเอกชนมองต่างกัน เราแก้ถูกทางหรือไม่ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเป็นอย่างไร ทุกวันนี้คนไทยใช้เฟซบุ๊ค 54 ล้านคน มีการใช้ไลน์ ยูทูป ถ้าเอาทุกอย่างมาที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เพราะเป็นเรื่องที่ยากมากจะกรองข่าวปลอมทั้งหมด ซึ่งจากการที่ได้ไปดูศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีความไฮเทคมาก ถ้าเราทำได้จะมีความน่าเชื่อถือ
ส่วนน.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ข่าวต้องเป็นพื้นฐานของข้อเท็จจจริง แต่กลายเป็นวาทกรรมติดตามปากจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่า สื่อที่วิจารณ์ตัวเองว่าเป็น Fake News ซึ่งคนจะเป็นคนนิยามว่า จริงหรือไม่จริง เป็นสิ่งที่ยากมากเพราะขึ้นอยู่กับความคิดเห็นแต่ละบุคคล จึงต้องแยกระดับว่า ถ้าเป็นการเมือง สังคม วัฒนธรรมจะตัดสินยาก เพราะเป็นเรื่องความเชื่อ จากที่เป็นภาคประชาชน และเป็นอดีต กสทช. ไม่เห็นด้วยให้รัฐเป็นเจ้าภาพหลัก ถ้าจงใจปล่อยข้อมูลเท็จต้องมีกฎหมายเฉพาะเข้าทำงานจริงจัง อาทิ เรื่องสุขภาพที่อาจล่อลวงให้มาซื้ออาหารเสริมได้ เป็นเรื่องของรัฐไปแก้ปัญหาจริงจังกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จให้เต็มที่
"ถ้าเป็นการหลอกลวงจริงๆ ต้องให้รัฐใช้กฎหมายกำกับดูแล แต่ถ้าเป็นเรื่องทัศนคติ หรือเป็นความเห็นทางการเมือง ต้องให้สื่อหลักตรวจสอบ แต่สื่อหลักบางส่วนก็มีการกระโจนไปแพร่ข่าวลวงด้วย จึงต้องให้องค์กรวิชาชีพตักเตือนกันเองเพื่อสร้างมาตรฐานจริยธรรม อย่าให้คนใดคนใดคนหนึ่งตัดสินว่า สิ่งใดข่าวจริงหรือปลอม ถ้าจะตรวจสอบข่าวปลอม จะมีหน้าเป็นกองบรรณาธิการแบบต่างประเทศ เพื่อให้กลุ่มคนต่างๆ เอ็นจีโอ หรือปัญญาชนมาช่วยกันสืบสวน และค้นหาความจริงเพื่อต่อสู่กับความลวง"
น.ส.สุภิญญา กล่าวถึงการจัดการข่าวลือในออนไลน์ด้วยว่า เราไม่สามารถใช้วิธีการแบบเดิมจัดการได้ ต้องใช้กลไกทางสังคมมีส่วนร่วมเพื่อตัดสินว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม อยากให้ดึงภาคส่วนอื่นๆ มาเกี่ยวกัน ถ้าจะทำเรื่องการเมืองต้องทำให้ครบทุกทางไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่แค่ตรวจสอบข่าวปลอมจากคำพูดของ ผบ.ทบ. แต่ต้องตรวจสอบเกี่ยวกับบุคคลทางการเมืองเลย ทำให้ต้องมีจุดยืนตรงนี้ที่ชัดเจน เพื่อให้การยอมรับจากทุกภาคส่วน ต้องใช้สังคมการมีส่วนร่วมให้แต่ละภาคส่วนทำหน้าที่ของตัวเอง
"ขอให้พรรคการเมือง และผู้นำความคิด ไม่ว่าจะคิดต่างอย่างไรต้องบอกกองเชียร์ว่า ถ้าไม่จริงอย่าแชร์ ต้องสร้างวัฒนธรรมความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ถ้าใครผิดพลาดที่จะเผยแพร่ข่าวลวงพร้อมออกมาขอโทษ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง อยากเห็น รมว.ดีอี ทำเอ็มโอยูกับพรรคอนาคตใหม่ และทุกพรรคการเมือง เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ไขเพื่อเป็นสัญญาณที่ดีในการแก้ปัญหา จากที่ต่างคนต่างพูดกันอยู่ แต่ถ้าอยู่ในเวทีเดียวกันได้ ถึงแม้จะเห็นต่างในทางการเมือง แต่มาร่วมแสวงหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายทุกพรรค โดยรัฐบาลสนับสนุน เพื่อให้ทุกฝ่ายมีวัฒนธรรมยอมรับการไม่เผยแพร่ข่าวลวง"น.ส.สุภิญญา กล่าว
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/