อย่าปล่อยให้หนูสู้ลำพัง
"...ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกมากมายภายในรั้วโรงเรียนที่กระทบต่อเด็กทั้งกลุ่มใหญ่และกลุ่มเล็ก หรือแม้กระทั่งเด็กคนเดียว ที่ต้องต่อสู้ตามลำพังกับครูที่ใช้อำนาจเกินเหตุโดยไม่มีใครมาช่วยปกป้องพวกเขา เรื่องราวที่มีตั้งแต่อาชญากวรรมทางเพศ การทำร้ายร่างกาย การบูลลี่ของครูและอื่นๆ เป็นที่รับทราบกันดีตามข่าวที่ปรากฎขึ้นมากมาย..."
“เมื่อวานลูกบอกไม่ได้เรียนหนังสือเลย วันนี้ต้องไปยืนต้อนรับ ผอ.คนใหม่ แดดร้อนๆตรงหนู” นี่คือหนึ่งในเสียงบ่นของผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนอีกความเห็นหนึ่งที่ประชดประชันก็บอกว่า “น่าจะปูพรมแดงต้อนรับท่าน”
ความเห็นเหล่านี้หลั่งไหลกันออกมา หลังจากที่ เพจเฟซบุ๊ก 4salove ได้แชร์ภาพนักเรียนกำลังนั่งตากแดดอยู่ภายในโรงเรียน พร้อมระบุข้อความว่า “รับ ผอ. คนใหม่ เอิ่มมมม…!! โดยในภาพเป็นนักเรียนโรงเรียนหนึ่งใน จ.สระบุรี ต้องออกมานั่งตากแดดเป็นแถวเพื่อต้อนรับ ผอ.คนใหม่ ซึ่ง ผอ.ผู้นั้นได้ออกมาชี้แจงว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้สั่ง หรือบังคับให้เด็กนักเรียนมาตั้งแถวรอ หรือก้มกราบ แต่โรงเรียนทำเอง
ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ดราม่าในโลกออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำลักษณะเช่นนี้ในโรงเรียน ที่ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ
ในเวลาเรียน เด็กควรอยู่ในห้องเรียน เพื่อเรียนหนังสือมิใช่หรือ? การต้อนรับผู้อำนวยการคนใหม่ควรกระทำแต่พอควร เพราะผู้อำนวยการมีหน้าที่บริหารโรงเรียน มิใช่มาเป็นผู้ปกครองของอาณาจักรในโรงเรียนมิใช่หรือ?
ภาพเด็กๆตากแดดเป็นแถว หรือภาพก้มกราบผู้อำนวยการบนพื้นซีเมนต์กลางแดดร้อนๆ สะท้อนความจริงอันหนึ่งว่า เด็กนักเรียนปัจจุบันกำลังตกอยู่ภายใต้ความกดดันของระบบการศึกษาแบบเก่า ที่ปิดกั้นความคิด การแสดงออก หรือศักยภาพของเด็กแต่ละคน ภายใต้คำว่า “กฎระเบียบ” หรือ “หลักสูตร” ที่แข็งตัว
ซึ่งเป็นภาพจริงที่สะท้อนกลับไปยังนิทรรศการเชิงสัญญลักษณ์ชื่อว่า “การศึกษาฆ่าฉัน” ที่จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนที่แล้วที่หอศิลปกรุงเทพ ที่เป็นการส่งเสียงเรียกร้องให้สังคมมาช่วยกันรับรู้ความรู้สึกกดดันของเด็กๆ ภายใต้การศึกษาที่ยังอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่ไม่ให้เด็กนักเรียนได้มีอิสระในการแสดงออก ทั้งด้านศักยภาพ ความอิสระด้านความคิด ภายใต้คำว่า “กฎระเบียบ” และ “หลักสูตรกระทรวงฯ”
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า ที่ไหนมีกฎระเบียบที่เข้มงวด จะเปิดโอกาสให้คนที่ใช้ระเบียบเหล่านั้นใช้อำนาจเกินขอบเขต ในที่นี้ เห็นได้ชัดว่าระเบียบ เปิดให้ครูหรือผู้บริหารโรงเรียนใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ
คนที่ผ่านระบบการเรียนหลักๆในประเทศนี้ร่วมเห็นพ้องต้องกันว่า เด็กนักเรียนถูกบังคับให้มาตากแดดต้อนรับ หรือเรียงแถวก้มกราบผู้อำนวยการที่พื้นถนนจะโดยระบบหรือครูสั่งก็ตาม ไม่ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจะออกข่าวปฏิเสธอย่างไรก็ตามก็ไร้ความหมาย
นี่เป็นเพียงปรากฎการณ์ของยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำขณะนี้คือวิพากวิจารณ์ผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ แต่ดราม่านี้ไม่เพียงพอต่อปัญหาใหญ่โตที่เกิดกับเด็กๆของเรา ที่ต้องการการแก้ไขปรับปรุงอย่างรีบด่วนต่อปัญหาต่างๆที่เกิดกับเด็กหลายแสนคนในระบบโรงเรียนไทย
ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกมากมายภายในรั้วโรงเรียนที่กระทบต่อเด็กทั้งกลุ่มใหญ่และกลุ่มเล็ก หรือแม้กระทั่งเด็กคนเดียว ที่ต้องต่อสู้ตามลำพังกับครูที่ใช้อำนาจเกินเหตุโดยไม่มีใครมาช่วยปกป้องพวกเขา เรื่องราวที่มีตั้งแต่อาชญากวรรมทางเพศ การทำร้ายร่างกาย การบูลลี่ของครูและอื่นๆ เป็นที่รับทราบกันดีตามข่าวที่ปรากฎขึ้นมากมาย
แต่สังคมไม่มีระบบรองรับ เด็กนักเรียนที่โดนรังแก หรือผู้ปกครองที่ลุกขึ้นมาปกป้องความอยุติธรรมหรือแม้แต่อาชญากรรมในโรงเรียนมักจะพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และระบบโรงเรียนที่บอกเป็นนัยว่า “ถ้าไม่พอใจก็เอาลูกออกไป”
รัฐบาลที่ได้ตั้งธงปฏิรูปการศึกษามาเป็นสิบปีก็ไม่มีความคืบหน้าทั้งทางด้านการแก้หลักสูตรให้ทันสมัย การแก้กฎระเบียบที่ให้อิสระด้านความคิดและการแสดงออกที่แตกต่างของเด็ก ตรงกันข้าม กลับมีปรากฎการณ์การใช้อำนาจเกินเหตุในโรงเรียนกันมากขึ้น เด็กๆ หรือผู้ปกครองที่พ่ายแพจำนวนหนึ่งต้องเอาลูกงจออกจาระบบ หรือก้มหน้ารับกรรมต่อไป
แต่ถ้าสังคมไม่ควรก้มหน้ารับกรรมไปด้วย เพราะการศึกษาในโรงเรียนหลักๆของประเทศต้องเป็นที่พึ่งให้กับนักเรียน เพื่อการสร้างศักยภาพของและคุณภาพประชากรของประเทศในอนาคต
สิ่งที่ควรจะเกิดก็คือกลไกภาคประชาชนที่ก่อตั้งอย่างเป็นรูปธรรม นอกโลกออนไลน์ เพื่อช่วยกันผลักดันให้การแก้ไขระบบระเบียบที่ล้าสมัย ช่วยรัฐปฏิรูปภาคการศึกษาอย่างจริงจัง เพราะการศึกษาในโลกสมัยใหม่ ไม่ได้อยู่ในมือนักการเมืองหรือนักวิชาการที่จะมาแก้ไขแล้ว แต่อยู่ในมือของสังคมใหม่ที่ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันหาทางออก
เห็นได้ชัดว่าสมาคมผู้ปกครองตามโรงเรียนต่างๆนั้นไม่ใช่กลไกที่เป็นที่พึ่งของนักเรียนได้เพราะผู้ปกครองส่วนมากจะโอนอ่อนผ่อนตามระบบระเบียบของโรงเรียน หรือการกระทำผิดของครูเนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อลูกๆของตน ดังนั้นกลุ่มภาคประชาชนเพื่อปฏิรูปการศึกษาจึงจำเป็นอย่างเร่งด่วนก่อนที่เด็กรุ่นใหม่ๆของเราจะโดน “การศึกษาฆ่าฉัน” ตามที่นิทรรศการเชิงสัญญลักษณ์ได้แสดงไว้
ดังนั้นจึงควรต้องมีการจัดตั้ง กลุ่มภาคประชาชนที่ช่วยกันเฝ้าระวังการประพฤติที่ไม่เหมาะสมของโรงเรียนหรือครู และเป็นหน่วยที่เร่งรัดรัฐบาลให้มีการปรับปรุงระเบียบในโรงเรียน หรือระบบการเรียนการสอน การสร้างกลุ่มประชาชนเฝ้าระวัง ควรเป็นจุดรับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียน และผู้ปกครอง ที่เห็นการกระทำที่ไม่สมควรของโรงเรียนตามภาคต่างๆ ของประเทศ และรัฐบาลต้องสนับสนุนด้วยการให้ระบบภาคประชาชนเฝ้าระวังการศึกษาทำงานได้จริงเช่นกัน
เพราะการศึกษาสมัยใหม่นั้นที่จะก้าวไปกับความคิดและการแสดงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ไปไกลกว่ารั้วโรงเรียนแล้ว
อย่ารอว่าใครจะเริ่มก่อน
อย่าปล่อยให้เด็กๆ สู้กันตามลำพัง
ร่วมกันสร้างกลุ่มประชาชนเปลี่ยนการศึกษาเพื่อเด็กๆของเรา
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : อย่าปล่อยให้การศึกษา “ฆ่าเด็กของเรา”
ที่มา : https://web.facebook.com/story.php?story_fbid=138351254243834&id=108747237204236&_rdc=1&_rdr
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3