คำต่อคำ 'ปิยบุตร' บรรยายโต้ ผบ.ทบ. ว่าด้วยบทบาทปชช.ในการสร้างชาติ
"...เท่าที่ฟัง ผบ.ทบ.ได้บรรยายเมื่อวานนี้นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตอกลิ่มสร้างความแตกแยก จนมากขึ้นกว่าเดิม การบรรยายของ ผบ.ทบ. นั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เข้าใจการเมืองยุคใหม่ เพราะเป็นการบรรยายที่สร้างความเกลียดชัง สร้างศัตรู และกระตุ้นให้เกิดการแตกแยกระหว่างรุ่น หรือ แคลช ออฟ เจเนอร์เรชั่น ซึ่งตนมองว่าเป็นประเด็นที่ต้องปฏิรูปกองทัพ ทั้งนี้ขอให้ ผบ.ทบ. ยอมรับความจริง และพูดคุยกันร่วมกัน..."
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2562 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย บทบาทของประชาชนในการสร้างชาติ” ที่พรรคอนาคตใหม่ ชั้น 5 อาคาคไทย ซัมมิต ภายหลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้จัดการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แผ่นดินของเรา ในมุมมองด้านความมั่นคง” เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2562 ที่ผ่านมา
นายปิยบุตร กล่าวว่า การบรรยายที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพราะการบรรยายของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2562 ที่ผ่านมา
นายปิยบุตร บรรยายว่า การเป็นประเทศชาติได้นั้น ก็คือการที่ทุกคนที่อยู่ร่วมกันมีความรู้สึกหวงแหนและมีความคิดถึงอนาคตของประเทศร่วมกัน ประเทศชาติกับประชาชนนั้นเหมือนกับ 2 ด้านของเหรียญที่ขาดกันไม่ได้ ดังนั้น การสร้างชาติแบบสากลจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนนั้นมีการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลายและเคารพในความเป็นคนของผู้อื่น ซึ่งกระบวนการส่งเสริมประชาชนให้มีส่วนร่วมที่ว่ามานั้นก็ต้องมีการส่งเสริมให้ประชาชนมีทั้งในด้านของความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและปากท้อง การมีสิทธิเสรีภาพ ต่างๆ
ดังนั้น กล่าวโดยสรุปก็คือความมั่นคงของชาตินั้นก็เท่ากับความมั่นคงของประชาชนด้วย
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บรรยายต่อว่า เรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 1 ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าแก้ไม่ได้ กระทบต่อความมั่นคงนั้น ต้องขอชี้แจงในเรื่องประวัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทยกันก่อน ในธรรมนูญการปกครองชั่วคราว 2475 นั้นมีการพูดกันในมาตรา 1 ว่าใครเป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งอำนาจสูงสุดของประเทศก็คือราษฎร แต่ก็ไม่ได้มีการพูดชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นสหพันธ์หรือจะเป็นรัฐเดี่ยว และก็ไม่ได้พูดว่าประเทศไทยปกครองระบอบอะไร
คำว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งที่แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าประเทศไทยนั้นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นก็มีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 ธ.ค. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มาตราที่ 1 นั้นพูดเรื่องรูปของรัฐว่าประเทศไทยนั้นเป็นราชอาณาจักรและเป็นรัฐเดี่ยว และมาตรา 2 พูดว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมาจากปวงชนชาวไทย โดย
พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้
ต่อมาพอถึงรัฐธรรมนูญปี 2492 ก็มีการเขียนมาตรา 1 ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกไม่ได้เพื่อยืนยันถึงลักษณะความเป็นรัฐเดี่ยว และมาตรา 2 ระบุว่าประเทศไทยปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 3 บอกว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมาจากปวงชนชาวไทย โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล
นายปิยบุตรกล่าวว่า "3 มาตรานี้ก็ใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เวลาเราถกกันว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้หรือไม่ได้นั้น อยากให้ดูที่มาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ระบุชัดเจนว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ และมีอีกมาตราหนึ่งก็คือมาตราที่ 256 วงเล็บ 8ที่ระบุในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ในหมวดที่ 1 คือหมวดทั่วไป หมวดที่ 2 คือหมวดพระมหากษัตริย์ หมวดที่ 15 คือหมวดที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าจะแก้ไขในหมวดเหล่านี้ มาตรา 256 วงเล็บ 8 บอกว่าจะต้องผ่านรัฐสภาและผ่านประชามติด้วย
ดังนั้นสรุปก็คือมาตรา 1 นั้นแก้ได้ แต่แก้แล้วห้ามมีผลเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และต้องห้ามมีผลต่อรูปแบบการปกครองที่เป็นราชอาณาจักรของประเทศไทย ไปเป็นรูปแบบอื่น ห้ามเปลี่ยนรูปแบบรัฐเดี่ยวไปเป็นรูปแบบสหพันธ์ อีกทั้งประเทศไทยยังได้อุดรูรั่วตรงนี้อีกโดยให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นผู้วินิจฉัยด้วยว่าแก้แล้วจะไปกระทบกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่
“พรรคฝ่ายค้านนั้นประกาศในที่สาธารณะหลายครั้งแล้วว่าเราจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกของประชาชน และเราก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ไปยุ่งกับหมวดหนึ่งกับหมวดสองด้วยซ้ำ พวกเราพยายามใช้ช่องทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามระบบ ดังนั้น ไม่มีทางที่จะไปกระทบและเปลี่ยนรูปแบบของรัฐอย่างแน่นอน แต่ตรงกันข้ามนั้นคณะรัฐประหารเวลาเข้ามายึดอำนาจ เขาฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ นั่นหมายความว่าข้อห้ามเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่มีอีกแล้ว รัฐประหารต่างหากที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่รัฐสภาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมถามว่าใครกันแน่ระหว่างคนที่มีปากกากับคนที่มีอาวุธ ที่ละเมิดมาตรา 1 มากกว่ากัน” นายปิยบุตรกล่าว
นายปิยบุตร บรรยายต่อว่า ในต่างประเทศกองทัพไม่มีการยุ่งกับการเมืองชัดเจน แต่ในประเทศไทยนั้นกองทัพกลับมีกลไกที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยอย่างแยบยลขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยกรณีที่ประเทศมีวิกฤตเพื่อกองทัพจะเข้ามาแก้ไขวิกฤต
ดังนั้นการที่จะให้กองทัพครองอำนาจต่อไป ก็ต้องให้ประเทศมีวิกฤตตลอดเวลา เมื่อเกิดวิกฤตและกองทัพเข้ามาแทรกแซง สิ่งที่ตามมาก็คืออำนาจและข้อยกเว้นต่างๆของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่มาแทรกแซงทางการเมือง จนทำให้ประชาชนมองว่ามันกลายเป็นเรื่องปกติเช่นเรื่องมาตรา 44 ที่ตอนนี้ก็มีบางคนรู้สึกชินว่าใช้แก้ปัญหาได้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเมื่อวิกฤตคลี่คลายไปแล้วอำนาจพิเศษก็ควรจะหมดไป
นายปิยบุตร บรรยายต่อว่า ถ้าจะสังเกตดูจะพบว่ามีสร้างวาทกรรมต่างๆให้เกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อให้เกิดวิกฤต โดยตอนนี้ก็ใช้วาทกรรมว่าล้างสมองคนรุ่นใหม่ และมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปรงโครงสร้างกองทัพให้เข้ามามีอำนาจในองค์กรต่างๆเช่นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หรือไม่ก็ใช้วิธีการเข้ามามีอำนาจใน ส.ว. ในสภาปฏิรูปต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า Militarization of state โดยวงจรวิกฤตและรัฐประหารเหล่านี้ก็คือสิ่งสำคัญที่หยุดยั้งประชาธิปไตยเอาไว้ไม่ให้เดินหน้าไปได้ และก็ไม่รู้ว่าในอนาคตนั้นจะมีการรัฐประหารอีกหรือไม่
นายปิยบุตร ระบุว่า เท่าที่ฟัง ผบ.ทบ.ได้บรรยายเมื่อวานนี้นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตอกลิ่มสร้างความแตกแยก จนมากขึ้นกว่าเดิม
"การบรรยายของ ผบ.ทบ. นั้นแสดงให้เห็นว่ายังเป็นแนวคิดในยุคสงครามเย็น ที่ยังไม่เข้าใจการเมืองยุคใหม่ เพราะเป็นการบรรยายที่สร้างความเกลียดชัง สร้างศัตรู และกระตุ้นให้เกิดการแตกแยกระหว่างรุ่น หรือ แคลช ออฟ เจเนอร์เรชั่น ซึ่งผมมองว่าเป็นประเด็นที่ต้องปฏิรูปกองทัพ ทั้งนี้ขอให้ ผบ.ทบ. ยอมรับความจริง และพูดคุยกันร่วมกัน"
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในช่วงท้ายการบรรยาย ได้มีผู้ร่วมเสวนาสอบถามกรณีที่มีข้อครหาว่านาย คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาจังหวัดยะลาที่ก่อเหตุยิงตัวเองนั้นได้มีการส่งข้อมูลมาให้กับทางพรรคอนาคตใหม่ก่อนที่จะก่อเหตุจริงหรือไม่
นายปิยบุตร ชี้แจงว่า "นายคณากรนั้นได้เคยส่งข้อความมายังเฟซบุ๊คของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และเพจเฟซบุ๊คของพรรคอนาคตใหม่ โดยครั้งหนึ่งในช่วงปลายเดือน ส.ค.และอีกครั้งหนึ่งในช่วงเดือน ก.ย. โดยครั้งที่หนึ่งถามว่าพรรคอนาคตใหม่มีนโยบายการรับประกันความเป็นอิสระขององค์คณะหรือไม่อย่างไร และอีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.ย. นายคณากรอ้างว่ามีเอกสารหลักฐานต้องการจะแสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงในองค์คณะที่นายคณากรได้ตัดสินคดีอยู่ ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ไม่เคยได้รับเอกสารจำนวน 25 หน้าที่นายคณากรได้อ้างถึงดังกล่าว เอกสาร 25 นั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นายคณากรได้ไลฟ์สดยิงตัวเอง แล้วต่อมานายคณากรก็ได้นำไปโพสต์บนเพจของตัวเอง แต่ปัจจุบันเอกสารนั้นหายไปจากเพจของนายคณากรเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเอกสาร 25 หน้าเราก็เห็นพร้อมกันกับตอนที่นายคณากรได้เปิดเผยออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ"
"ขอย้ำว่าผมไม่ได้รู้จักกับนายคณากรมาก่อนแต่อย่างใด"
หมายเหตุ:อ้างอิงวิดิโอจากผู้อัปโหลด '"อนาคตใหม่การเมือง"
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/