อุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ฎีกาพิพากษาแก้คุก 2 ปีรอลงอาญา'สุรพงษ์'คดีคืนพาสปอร์ตแม้ว
ผลอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พิพากษาแก้สั่งคุก 2 ปี 'สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล' อดีต รมว.ต่างประเทศ คดีคืนพาสปอร์ตให้ทักษิณ แต่รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2562 เวลา 11.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาผลอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่องค์คณะในศาลฎีกา คดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อการร้าย และคดีอื่น ๆ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) (4)
รายงานข่าวจากศาลฎีกาฯแจ้งว่า ผลอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ขององค์คณะในศาลฎีกา พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกนายสุรพงษ์ 2 ปี ปรับ 1 แสนบาท แต่โทษให้รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากจำเลยป่วยเป็นมะเร็ง
โดยเอกสารข่าวศาลฎีกาแผนกคีอาญาของผู้ดำรงคำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ระบุว่า วันที่ 10 ตุลาคม 2562 ระบุว่า ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา (ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์) คดีหมายเลขดำที่ อม.อร.7256ด หมายเลขแดงที่ อม.อธ.4/0562 โดยองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า การแจ้งข้อกล่าวหาและไต่สวนคดีนี้ชอบแล้ว นายทักษิณ ถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกออกหมายจับในคดีร้ายแรงอีกหลายคดี การปลดชื่อ นายทักษิณออกจากบัญชีรายชื่อที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทางที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์และออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ จึงไม่ถูกต้อง การที่จำเลยเกษียนสั่งในบันทึกทันทีและเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการในวันเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทางนี้มาตั้งแต่ตัน
จำเลยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในกระทรวงได้ ประกอบกับตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีสามารถมอบนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ รัฐมนตจึงเป็นจ้าพนักงาน มีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ดังกล่าว และหากการกระทำนั้นเป็นไปโดยมีเจตนาที่จะทำผิดต่อกฎหมายโดยตรงแล้วผู้สั่งการก็ย่อมจะต้องรับผิดด้วย จำเลยจึงต้องรับผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง
ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า จำเลยเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาอย่างยาวนานหลายครั้ง จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่จำเลยกลับมีพฤติการณ์ในการช่วยเหลือบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก อยู่ระหว่างการออกหมายจับมาเพื่อบังคับโทษตามคำพิพากษา และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณาอีกหลายคดี โดยจำเลยย่อมทราบดีว่าการที่นายทักษิณได้รับหนังสือเดินทางจะทำให้นายทักษิณสามารถหลบหนีการติดตามจับกุมได้โดยสะดวก อันเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง ที่ศาลกำหนดโทษจำเลยให้จำคุก 2 ปี จึงนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว
อย่างไรก็ตามไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อได้คำนึงถึงอายุ ประวัติความประพฤติ สภาพความผิด ประกอบกับได้ความว่า หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 จำเลยมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงและโรคมะเร็ง ซึ่งโรคมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและช่องท้อง จำเลยต้องเช้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง อันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุก แต่ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับ 100,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอกาลโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่ปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2561 ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุกนายสุรพงษ์ 2 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากนายสุรพงษ์ได้ออกหนังสือเดินทางให้กับนายทักษิณด้วยพฤติการณ์ปกปิดซ่อนเร้น ตั้งแต่ชั้นรับคำร้องจนไปถึงขั้นตอนการปลดรายชื่อนายทักษิณออกจากบัญชีรายชื่อที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทาง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ข้อ 21 โดยอ้างนโยบายของรัฐบาลที่ไม่มีอยู่จริง และคณะรัฐมนตรีไม่ได้เข้ามารู้เห็นเรื่องนี้ ทั้งยังอ้างระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ข้อ 23/7 เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และหลบหนีหมายจับให้ในคดีข้อหาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศสามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก และรัฐบาลไทยไม่อาจขอให้รัฐบาลประเทศนั้นส่งผู้ร้ายข้ามแดนอันเนื่องมาจากไม่มีหนังสือเดินทางได้
ส่วนกรณีที่จำเลยยื่นคำร้อง โดยการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ได้แก่ กฎหมาย ป.ป.ช. , พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส, และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในการไต่สวนคดี และสถานะของกรรมการ ป.ป.ช. คณะผู้พิพากษาลงความเห็นให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ขัดต่อกฎหมายตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
ทั้งนี้ นายปรีชา ศรีเจริญ ทนายความของนายสุรพงษ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า นายสุรพงษ์ได้ขอยื่นประกันตัวด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 5 ล้านบาท และศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวได้โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามนายสุรพงษ์ออกนอกประเทศ
อ่านประกอบ :
ศาลฎีกาฯสั่งคุกจริง2ปี!'สุรพงษ์'คืนพาสปอร์ต 'ทักษิณ' -ให้ประกันตัว 5 ล. ห้ามออกนอกปท.
‘สุรพงษ์’ไม่รอด! มติ สนช.ล้นหลาม 231 เสียงถอดถอนปมคืนพาสปอร์ต‘แม้ว’
‘สุรพงษ์’ไม่รอด! ป.ป.ช.ฟันอาญาปมคืนพาสปอร์ต‘ทักษิณ’-ส่ง สนช.ถอด
“สุรพงษ์-ปู”งานเข้า! ป.ป.ช.จ่อแจ้งข้อหาปมคืนพาสปอร์ต“ทักษิณ”มิ.ย.นี้
พลิกปูมปฏิบัติการเด็ดปีก“ทักษิณ”จาก “คตส.-รบ.มาร์ค”ก่อนสำเร็จยุค“บิ๊กตู่”
ก.ต่างประเทศยกเลิกพาสปอร์ต'ทักษิณ'เหตุคำสัมภาษณ์กระทบมั่นคงชาติ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/