หมายจับเพิ่มคดีบึ้มกรุงอีก 5 รวมผู้ต้องหา 21 คน รวบได้ 3
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (19 ก.ย.62) มีความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิดสังหารและระเบิดเพลิงหน้าสถานที่ราชการและย่านการค้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เมื่อวันที่ 1-2 ส.ค.62 โดยศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 5 คน 5 หมายจับ โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้ตำรวจระบุว่าเป็น "ระดับสั่งการ" ประกอบด้วย
นายมะนูเด็น สามะ อายุ 49 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส, นายมูฮำมัดอาดีลัน สาและ อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี, นายอารีฟ มะเซ็ง อายุ 25 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส, นายซุลกิฟลี มะสาแมง อายุ 38 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ นายรอแปะอิง อุเซ็ง อายุ 50 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
ข้อหาตามหมายจับที่ตั้งกับผู้ต้องหากลุ่มนี้คือ มีพฤติการณ์เป็นอั้งยี่, ซ่องโจร โดยเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิด, เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พยายามทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น, กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น และโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า และกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส มีโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 3-20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 -1,000,000 บาท
มีรายงานว่า นายซุลกิฟลี มะสาแมง เคยมีข่าวระบุว่าถูกควบคุมตัวโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายพิเศษที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ล่าสุดฝ่ายตำรวจอ้างว่ายังจับกุมตัวไม่ได้
ขณะเดียวกันพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ยื่นร้องต่อศาลเพื่อเพิ่มข้อกล่าวหาตามหมายจับผู้ต้องหาในระดับปฎิบัติการและยังหลบหนีการจับกุม จำนวน 13 ราย จำนวน 13 ราย แยกเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้
1. กลุ่มที่ถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 4 คน ประกอบด้วย นายอัมรี มะมิง, นายอัสมี อาบูวะ, นายอุสมาน เปาะลอ และนายอาแซ แบเลาะ
2. กลุ่มที่ถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 3 คน ประกอบด้วย นายอุสมัน ลาเตะ, นายฮาซัน อาแว และ นายนัสรู มะประสิทธิ์
3. กลุ่มที่ถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 4 คน ประกอบด้วย นายมะยากี มะลาซิง, นายศรัทธา อาแว, นายอุสมาน เจ๊ะเต๊ะ, และ นายสุกรี ดือรามัน
รวม 3 กลุ่ม 11 คน และยังมีอีก 2 คนที่ถูกออกหมายจับแล้วแต่ไม่เป็นข่าวมาก่อน คือ นายฮากีม ปุนยัง กับ นายมะยูโซะ หะยีสามะ โดย 2 คนนี้ถูกระบุว่าอยู่ระหว่างศาลพิจารณาออกหมายจับใหม่ รวมทั้งหมด 13 คน
ข้อหาที่ถูกแจ้งเพิ่ม คือ มีพฤติการณ์เป็นซ่องโจร โดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, ร่วมกันก่อการร้าย, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น และโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า, ร่วมกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส
ส่วน นายลูไอ แซแง กับ นายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถูกจับกุมเมื่อกลางดึกวันที่ 1 ส.ค.ต่อเนื่องวันที่ 2 ส.ค. ที่แยกปฐมพร อ.เมือง จ.ชุมพร นั้น ก็มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเช่นกัน รวมถึง นายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ ซึ่งทำหน้าที่จัดส่งระเบิดให้ทีมวางระเบิดไปก่อเหตุตามจุดตางๆ และถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 30 ส.ค. ก็ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มด้วย
สำหรับ นายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัวตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค. ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์ข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านศุลกากรสุไหงโกลก อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส
รวมผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้วทั้งหมด 21 คน จับกุมได้แล้ว 3 คน ซึ่งก็ตรงตามข้อมูลที่ตำรวจให้ข่าวก่อนหน้านี้ว่า ขบวนการลอบวางระเบิดสังหารและระเบิดเพลิงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเมื่อวันที่ 1-2 ส.ค. มีผู้ร่วมก่อเหตุกว่า 20 คน
ข้อมูลจากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ยังพบว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้นมีการกระทำผิดตั้งแต่นอกราชอาณาจักร เกี่ยวพันต่อเนื่องกันจนกระทั่งเกิดเหตุภายในราชอาณาจักร ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ต้องให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินคดี ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีและรับโทษตามที่ได้กระทำผิดต่อไป