‘บิ๊กตู่’ โชว์ตัวเลขความมั่งคั่งชาติ สร้างทุนสำรองเงินตราสูง 2.2 แสนล้านดอลลาร์
‘ประยุทธ์’ แจงกลางสภาฯ ปมที่มารายได้ เผยมาจากรายรับ รบ.-เงินกู้นอกระบบ ยันไม่หวังขูดรีดภาษีคนจน ให้เก็บเท่าเทียม ยุติธรรม โชว์เพิ่งบริหารงาน สร้างทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงถึง 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
วันที่ 18 ก.ย. 2562 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงถึงประเด็นแหล่งที่มาการจัดทำนโยบายและรายได้ ว่า เมื่อวันที่ 25-26 ก.ค.2562 ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทั้งนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน สรุปว่า รายได้ดังกล่าว ในหน้า 33-34 รัฐบาลกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ในการดำเนินนโยบาย ได้แก่
1.แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เก็บจากรายรับของรัฐบาล ประกอบรายได้จากภาษีและไม่ใช่ภาษีและเงินกู้
2.แหล่งเงินกู้นอกงบประมาณ การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม PPP และเครื่องมือการเงินสมัยใหม่ เรียกว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงรายได้จากเงินสะสมกองทุนต่าง ๆ และการแปลงสิทธิทรัพย์สินเป็นทุนในอนาคต
โดยการแถลงนโยบายดังกล่าว รัฐบาลไม่อาจระบุได้ว่าจะนำรายได้ประเภทใดหรือภาษีชนิดใดไปดำเนินการนโยบายเรื่องใดเป็นการเฉพาะ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ใช้ในมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการผันผวนของเศรษฐกิจโลก หรือนำรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ไปใช้ในนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เนื่องจากระบบเงินคงคลังและระบบวิธีการงบประมาณต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และแก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้รายรับของรัฐบาลทั้งหมด ทั้งรายได้แผ่นดิน ค่าปรับ เงินกู้ จะต้องถูกส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดินในบัญชีเงินคงคลังที่หนึ่ง และสามารถโอนจากบัญชีเงินคงคลังที่หนึ่งไปเข้าบัญชีคงคลังที่สองเพื่อนำค่าใช้จ่ายตามรายจ่ายปรากฎตามการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายหรือตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ใช้จ่ายเท่านั้น
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีที่ดีนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุรัฐบาลต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาค สร้างความเป็นธรรมในสังคม รักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ รัฐบาลจะนำภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลทั้ง 12 ด้าน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
“รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังจะขูดภาษีจากคนจน โดยจัดเก็บภาษีอย่างเท่าเทียม ยุติธรรม ใช้การเก็บภาษีเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วย และมีการจัดเก็บภาษีหลายประเภทด้วยกัน ภาษีที่เก็บได้นำมาจัดทำงบประมาณรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม การลงทุนต่าง ๆ โดยต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังตาม พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2561”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงนโยบายหาเสียงไว้ด้วยว่า ถึงแม้จะมีการหาเสียง อย่างไรก็ตาม เป็นความต้องการของประชาชน และของพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะดูแลประชาชน ขณะเดียวกันเมื่อเป็นรัฐบาลต้องดูแลรายละเอียดตรงนี้ให้ดีที่สุดว่าทำได้หรือไม่ ทุกนโยบายของพรรคการเมืองมีความหลากหลาย บางนโยบายมีความคล้ายคลึงกัน จึงต้องจัดกล่องอยู่ใน 12 ด้าน ซึ่งในนั้นจะมีรายละเอียดทั้งหมด โดยรับทุกพรรค ไม่ว่าพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน แต่สามารถทำได้หรือไม่ ถ้าเราอนุมัติทั้งหมดมา ตั้งวงเงินมาทั้งหมดใน 12 ด้าน จะใช้เงินมากกว่า 2 ล้านล้านบาท นี่คืองบประมาณที่หาเสียงมา
“รัฐบาลไม่ปฏิเสธตรงนี้ เพราะต้องรับผิดชอบในการบริหารงบประมาณที่มี เช่น ปีนี้ตั้งไว้ 3.2 ล้านล้านบาท จะทำอย่างไร ในเมื่อ 3.2 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณต้องใช้จ่ายประจำปีอยู่แล้ว สมมตินำมาทั้ง 12 ด้านมารวมด้วย เท่ากับต้องหาเงินทั้งหมด 5-6 ล้านล้านบาท จึงต้องซอยย่อยลงมา” นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า รัฐบาลก่อนหน้านี้กำหนดไว้อันเดียวเอง ผมอ่านมาหมดแล้ว คือ นโยบายจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาท แล้วเป็นอย่างไร ระบุไปแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง อย่าลืมตรงนี้”
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุอีกว่า รัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารงาน สิ่งที่บ่งสะท้อนถึงความมั่งคั่งของประเทศ ได้แก่ ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เคยปิดบัง ข้อมูล ณ สิ้น ส.ค. 2562 มีจำนวนสูงถึง 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงอันดับต้นของโลก แล้วดูถูกประเทศได้อย่างไร จะเห็นว่า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2561 ที่มีจำนวน 2.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2560 มีจำนวน 2.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2559 มีจำนวน 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2557 มีจำนวน 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้นตามลำดับ”
ด้านเงินคงคลัง ณ สิ้น ส.ค. 2562 มีจำนวน 5.1 แสนล้านบาท เข้มแข็งเพียงพอ เพื่อต่อประโยชน์การดำเนินนโยบายเป็นขั้นตอนและมาตรการทางการคลังต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพื่อสอดคล้องกับกระแสรายได้ กระแสรายจ่าย เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ รอบคอบ รัดกุม
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกถึงประเด็นรัฐบาลก่อหนี้สาธารณะมากนั้น เปรียบเทียบระหว่างสมัยรัฐบาลปี 2556-2557 กับ 2558-2562 จะพบรัฐบาลล่าสุดมีการกู้เงินเฉลี่ยปีละ 4.08 แสนล้านบาท ซึ่งกู้เงินเฉลี่ยในแต่ละปีน้อยกว่าสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา โดยกู้เงินเฉลี่ยปีละสูง 4.4 แสนล้านบาท หรือสูงกว่ารัฐบาลที่ผ่านมากว่า 4 หมื่นล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดการชี้แจง ได้เดินทางออกจากรัฐสภาทันที พร้อมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยตอบคำถามยังไม่ชี้แจงประเด็นถวายสัตย์ฯ เพียงสั้น ๆ ว่า “เดี๋ยวดร.วิษณุ จะเป็นผู้ชี้แจง”
อ่านประกอบ:ฝ่ายค้านขย่มจี้ไขก๊อกนายกฯ! 'ปิยบุตร' ถาม'บิ๊กตู่'เขียนคำถวายสัตย์ฯใหม่เองหรือไม่
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/