เปิดผลสอบ “คดี 13 ศพ” ลูกเรือจีน กมธ.เพื่อไทย 2 ชุด เชื่อทหารไทยยิง
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวอิศรา” รายงานว่า คณะกรรมการธิการ (กมธ.) สามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 2 ชุด ได้แก่ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ ชุดที่มีนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน และ กมธ.การต่างประเทศ ชุดที่มีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พท. เป็นประธาน ได้ทำรายงานสรุปข้อเท็จจริง กรณีฆาตกรรมลูกเรือสัญชาติจีน 13 ศพ ในลุ่มแม่น้ำโขง จ.เชียงราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งรายงานทั้ง 2 ฉบับให้ที่ประชุมสภาฯ รับทราบ ในการประชุมสภาฯ ชุดที่ 24 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญทั่วไป) เมื่อวันพุธที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
เนื้อหาในรายงานของ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ มีทั้งสิ้น 76 หน้า จะเน้นไปที่มิติด้านความมั่นคง โดยมีการตั้ง อนุ กมธ.ชุดที่มี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พท. เป็นประธาน ขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2554 เกิดเหตุกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงเรือสินค้าสัญชาติจีน 2 ลำ ได้แก่เรือสินค้าดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ “ยูชิงปาฮ่าว” และเรือบรรทุกสินค้าเกษตรกรรม ชื่อ “หัวผิง” และเรือดังกล่าวได้มาจอดบริเวณบ้านสบรวก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่ทหารไทยเข้าตรวจค้น พบศพชายถูกยิงบนดาดฟ้าเรือยูชิงปาฮ่าว 1 ศพ ปืนอาก้า 1 กระบอก ภายในเรือพบยาบ้า 4 แสนเม็ด และเรือหัวผิงพบยาบ้า 5.2 แสนเม็ด จึงยึดไว้เป็นของกลาง ต่อมาปรากฎว่ามีศพสัญชาติจีนลอยน้ำมาอีก 12 ศพ เป็นชาย 10 ศพ เป็นหญิง 2 ศพ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้เรือสัญชาติจีนแล่นส่งสินค้าตามร่องแม่น้ำโขงเนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย
ซึ่งข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องที่มาชี้แจงต่อ กมธ.และอนุ กมธ. สอดคล้องกันว่า การเสียชีวิตของลูกเรือสัญชาติจีนทั้ง 13 ศพน่าจะมาจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ทหารไทย
โดยพ.ต.อ.ทวีชัย ประทีปอุษานนท์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงราย กล่าวว่า ข้อมูลเบื้องต้นจากการสอบสวน ในวันที่ 5 ต.ค.2554 มีพยานเห็นเหตุการณ์ว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ยิงลงไปในเรือ เมื่อเสียงปืนสงบกองกำลังผาเมืองที่ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) โดยหน่วยงานแรกที่ขึ้นไปบนเรือคือกองกำลังผาเมือง จากการตรวจสอบพบศพชายบนหัวเรือยูชิงปาฮ่าว หลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบพบยาบ้า 9.2 แสนเม็ด โดย นรข.นำไปเก็บไว้ และมีการแถลงข่าวพร้อมปืนอาก้าที่พบข้างศพ ในอีก 1 วันต่อมา จากนั้นวันที่ 7-9 ต.ค.2554 มีการพบศพลอยน้ำ เมื่อตรวจสอบดีเอ็นเอพบว่าเป็นดีเอ็นเอเดียวกับที่พบในคราบเลือดของเรือที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจสอบก็ได้รับการยืนยันจากทางการจีนว่าทั้ง 12 ศพเป็นลูกเรือจีนจริง ส่วนศพชายบนหัวเรือเป็นกัปตันเรือ ทั้งนี้จากการสอบถามทางการจีน ยังพบว่า ลูกเรือทั้ง 13 คนไม่เคยมีประวัติยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแต่อย่างใด
“จากพยานหลักฐานของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ได้ข้อมูลว่า มีเจ้าหน้าที่และคนจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์ ว่าทหารได้ยิงลงไปในเรือ และมีการเคลื่อนย้ายกำลังลงไปในเรือ และได้ยินเสียงปืนบนเรือ รวมทั้งยังได้มีการสอบพยาน 105 ปาก ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีประจักษ์พยานที่เห็นว่าเรือสัญชาติจีนได้แล่นเข้ามาในน่านน้ำไทยพร้อมทั้งมีเรือเล็ก 4 ลำแล่นประกบมาตั้งแต่อยู่นอกเขตน่านน้ำไทย ทั้งนี้หลังจากสื่อมวลชนจีนตั้งข้อสงสัยรวมถึงออกข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารไทยเป็นผู้สังหารลูกเรือจีนทั้ง 13 ศพ ก็มีการเรียกเจ้าหน้าที่กองกำลังผาเมืองทั้ง 9 คน ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการในวันที่เกิดเหตุ มารับทราบและแจ้งข้อกล่าวหา 1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ 2.ยักย้ายทำลายศพ” พ.ต.อ.ทวีชัยกล่าว
พ.ต.ท.พรรธน์ พรรธนภพ สารวัตรด่านตรวจคนเข้าเมือง จ. เชียงราย กล่าวว่า เรือทั้ง 2 ลำเป็นเรือสินค้า เข้า-ออกท่าเรือเชียงแสนเดือนละประมาณ 3 ครั้ง ลูกเรือทั้ง 13 คนมากับเรือเป็นประจำ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ ได้สรุปผลการศึกษาไว้ว่า เหตุการณ์ฆาตกรรมลูกเรือสินค้าสัญชาติจีน 13 ศพ ส่งผลให้เรือสินค้าสัญชาติจีนไม่กล้าวิ่งเข้ามาในแม่น้ำโขงเพื่อติดต่อการค้ากับไทย ทำให้การค้าที่ท่าเรือเชียงแสนหยุดชะงักลง และส่งผลกระทบหลายด้าน อาทิ 1.ผลกระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการจีนได้ส่งคนมาติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ทางการไทยจำต้องดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็ว 2.ผลกระทบด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้เที่ยวเรือ และมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกลดลงอย่างมาก การตั้งโรงผลิตยางพาราสังเคราะห์แปรรูปจากทุนจีนต้องหยุดชะงัก การจัดเก็บภาษีศุลกากรลดลงอย่างมาก และ 3.ผลกระทบด้านสังคม เช่น การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ ทั้งนี้ ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมืองทั้ง 9 นายได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาแล้ว กมธ.ไม่อาจก้าวล่วงไปพิจารณาตรงนั้นได้
ส่วนเนื้อหาในรายงานของ กมธ.การต่างประเทศ มีทั้งสิ้น 50 หน้า จะเน้นไปที่มิติด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภาพลักษณ์ของประเทศ โดยสรุปว่า น่าเชื่อถือได้ว่า เจ้าหน้าที่ของไทยจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของลูกเรือจำนวนหนึ่ง ส่วนจะเกิดจากแรงจูงใจในเรื่องใด ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ และจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยอยู่ จากข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเรือ 2 ลำเคลื่อนเข้าสู่น่านน้ำไทยได้ประมาณ 5 กิโลเมตรจากชายแดน ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารที่ดักอยู่ริมฝั่งและมีเสียงปืนดังขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่า ตัวเรือถูกยิงและมีภาพถ่ายปลอกกระสุนปืนตกอยู่บนเรือ แต่น่าสังเกตว่า กลับพบศพกัปตันเรือเพียง 1 คนที่ถูกสังหารอยู่บนเรือ ส่วนยาเสพติดที่พบในเรือลำหนึ่ง ก็วางอยู่ในห้องคนขับโดยไม่มีการซุกซ่อน อีกลำก็วางเปิดเผยอยู่ในห้องเครื่อง เมื่อขึ้นเรือไปก็สังเกตได้ทันที ซึ่งถือเป็นการ้คนพบสิ่งผิดกฎหมายที่ผิดธรรมชาติ
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้น 1.ด้านการเมือง อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน 2.ด้านเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียรายได้ราว 200 ล้านบาทต่อวัน 3.ด้านวัฒนธรรม อาจทำให้คนใน 4 ประเทศ จีน, ไทย, พม่า และลาว ไม่ไว้วางใจกัน ทั้งนี้ กมธ.การต่างประเทศ มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ระยะสั้นให้มีคณะกรรมการจากเอกชนในพื้นที่มาคอยประสานประโยชน์ระหว่างกัน ระยะยาวให้จัดตั้งกองกำลัง 4 ฝายลาดตระเวนในพื้นที่