บ.อสังหาฯแจงซื้อน.ส.3 ก ภูเก็ต ‘นักธุรกิจ-อดีตบิ๊กตร.’โปร่งใส-แพ้คดีฟ้องกลับคนขาย (มีคลิป)
กก.ผจก.กะตะ บีช เจ้าของโครงการ ‘เดอะ พีค เรสซิเดนซ์’ ตั้งโต๊ะแถลงแจงปมข้อพิพาทเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก หลังถูก ‘สิระ เจนจาคะ’ ลงพื้นที่สอบ ลั่นซื้อที่ดินต่อจาก ‘นักธุรกิจ-อดีตบิ๊ก ตร.’ ได้มาโปร่งใส พร้อมชะลอการก่อสร้างจนกว่าศาล ปค.สูงสุดพิพากษา แม้เสียหายหนักก็ตาม หากแพ้คดีรวมตัวลูกค้าฟ้องกลับคนขายที่ดิน-หน่วยงานรัฐแน่
จากกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ตรวจสอบเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก เลขที่ 1863 เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ โครงการเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ ของบริษัท กะตะ บีช จำกัด ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาหาดกะตะ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขณะเดียวกันกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ของศาลปกครองสูงสุดนั้น (อ่านประกอบ : เปิดที่มา น.ส.3 ก. 17 ไร่ บ.อสังหาฯ ภูเก็ต ก่อนกรณีดรามา‘สิระ’ ขายให้อดีตบิ๊ก ตร.-นักธุรกิจดัง)
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2562 นายมนัสนันท์ นรารัตน์วันชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท กะตะ บีช จำกัด เจ้าของโครงการเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ แถลงข่าวชี้แจงถึงกรณีนี้ว่า โครงการดังกล่าวซื้อที่ดินมาดำเนินการก่อสร้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และรับทราบมาโดยตลอดว่าที่ดินแปลงนี้ถูกศาลปกครองชั้นต้นเพิกถอน ปัจจุบันอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ที่ทำให้โครงการเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 70 ที่บัญญัติให้รอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
นายมนัสนันท์ กล่าวอีกว่า ส่วนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก แปลงนี้ บริษัทซื้อมาจากเจ้าของที่ดินที่เป็นนักธุรกิจ และอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกเอ่ยชื่ออยู่บ่อย ๆ อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าทั้ง 2 รายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับโครงการเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ แต่เป็นเพียงผู้ขายที่ดินให้เท่านั้น ยืนยันว่าโครงการเดอะ พีค เรสซิเดนซ์ เป็นของบริษัท กะตะ บีช จำกัด และมีตนเป็นกรรมการผู้จัดการเพียงผู้เดียว
นายมนัสนันท์ กล่าวด้วยว่า จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ส่งผลเสียต่อ จ.ภูเก็ต และประเทศไทย โครงการไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในลักษณะนี้ขึ้นจึงตัดสินใจ และประกาศว่าจะชะลอการก่อสร้างโครงการออกไปจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาจนคดีถึงที่สุด แม้ว่าการชะลอการก่อสร้างจะสร้างผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับโครงการที่ไม่สามารถส่งมอบอาคารให้กับลูกค้าได้ทันตามเวลาที่ทำสัญญาไว้ ซึ่งมีลูกค้าจองไว้แล้วเกือบทั้งหมดโครงการก็ตาม โดยชะลอในส่วนของอาคารจำนวน 18 หลังที่ยังไม่ได้ก่อสร้างตัวอาคาร แต่ก่อสร้างฐานรากไปแล้ว ส่วนที่ต้องดำเนินการต่อไปคือการก่อสร้างกำแพงดินและบ่อหน่วงน้ำด้านล่าง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่ด้านล่างโครงการ รวมถึงถนนภายในโครงการที่มีการเปิดหน้าดินไว้แล้ว และยังรวมถึงส่วนของอาคารที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างเพิ่มเติมในระบบภายใน โดยบริษัทสั่งซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ มาแล้ว ทั้งนี้เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับโครงการ จะก่อสร้างเพิ่มเติมเฉพาะอุปกรณ์ที่สั่งซื้อมาแล้วเท่านั้น ไม่ก่อสร้างจนหมด
“ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทนั้น เทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ จ.ภูเก็ต และประเทศไทย บริษัท กะตะ บีช จำกัด จึงยอมถอยออกมาหนึ่งก้าว และอยากให้ผู้ที่ห่วงใยโครงการนี้ได้ถอยออกมาหนึ่งก้าวเช่นกัน เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเอง” นายนมัสนันท์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าบริษัท กะตะ บีช จำกัด ทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท แต่ทำโครงการมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทนั้น นายมนัสนันท์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่มีการพูดถึงมาโดยตลอด อยากชี้แจงว่าบริษัทซื้อที่ดิน 445 ล้านบาท ตอนนี้จ่ายค่าที่ดินไปแล้ว 150 ล้านบาท เพื่อพัฒนา โดยระหว่างนั้นได้ยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน แต่ยังไม่ทราบว่าจะอนุมัติเท่าไหร่ แต่เมื่อรู้วงเงินสินเชื่อแล้วจะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนให้เหมาะสมกับสินเชื่อที่ได้รับ
“วันนี้เรายังไม่ทราบว่าจะสินเชื่อจะได้รับนั้นเท่าไหร่ จึงยังไม่ได้เพิ่มทุนจดทะเบียน บริษัทไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงลูกค้า พยายามที่จะก่อสร้างให้ลูกค้าเห็น แต่มีคนสั่งให้หยุดอยู่ตลอดเช่นกัน หากเรามีเจตนาที่จะโกง ก็สร้างแค่ห้องตัวอย่างพอแล้ว โครงการนี้บริษัทขออนุญาตก่อสร้างเป็นคอนโดนมีเนียม หรืออาคารชุดพักอาศัยรวม เพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม โดยใช้ น.ส.3 ก ขออนุญาตก่อสร้าง และได้ยื่นขอออกโฉนดกับสำนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต แล้ว เมื่อก่อสร้างเสร็จจะต้องไปจดทะเบียนเป็นคอนโดมีเนียมกับสำนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต เพื่อเตรียมความพร้อมในการโอนให้แก่ลูกค้าผู้ซื้อ” นายมนัสนันท์ กล่าว
(ภาพป้ายประท้วงการก่อสร้างโครงการ เดอะ พีค เรสซิเดนซ์, ที่มา : https://phuketindex.com)
สำหรับแผนรองรับหากศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เพิกถอนสิทธิ น.ส.3 ก ดังกล่าวนั้น นายมนัสนันท์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมแผนการรับรองโดยแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 ส่วน กลุ่มลูกค้าที่ซื้อกรรมสิทธิ์ในคอนโดมีเนียม และกลุ่มซื้อแบบเช่าระยะยาว หากไม่สามารถออกโฉนดได้ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อแบบเช่าระยะยาวจะไม่มีปัญหา เหลือแต่กลุ่มที่ซื้อเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ แต่บริษัทจะเตรียมทางเลือกไว้หลาย ๆ ทาง เช่น ต่อรองเพื่อลดราคาให้ และใช้อาคารได้ตามปกติแต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอาคารนั้น เบื้องต้นพูดคุยกับลูกค้าผ่านทางเอเย่นต์ทั้งหมดที่จะสื่อสารถึงลูกค้า และลูกค้าที่ซื้ออาคารรับทราบเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินมาโดยตลอด ตั้งแต่การแถลงข่าวครั้งแรกว่า เอกสารสิทธิที่ดินถูกศาลปกครองสั่งเพิกถอน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่มีลูกค้ารายใดขอเงินคืน และยังขอให้โครงการก่อสร้างจนแล้วเสร็จเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า ทั้งนี้หากถึงวันหนึ่งศาลมีคำสั่งให้เพิกถอน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทและลูกค้าที่จองโครงการและจ่ายเงินไปแล้ว บริษัทจะร่วมกับลูกค้า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก ฉบับนี้ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับคนที่ขายที่ดิน และหน่วยงานของรัฐที่ทำให้เกิดความเสียหาย
“ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้เป็นที่หวงห้าม ไม่ได้เป็นที่ป่าไม้ แต่เป็นที่ดินของเอกชน และก่อนที่ทำโครงการได้มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และในส่วนของความลาดชันนั้นยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าไม่เกิน 35% ตามที่ระบุในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม” นายมนัสนันท์ กล่าว
กรรมการผู้จัดการบริษัท กะตะ บีช จำกัด กล่าวด้วยว่า บริษัทจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะเดินหน้าโครงการอย่างไร หลังมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดออกมาแล้ว หากศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลชั้นต้น จะไม่สามารถก่อสร้างโครงการและใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงนี้ได้อีก ต้องหยุดการก่อสร้างทั้งหมด เพราะ พ.ร.บ.ศาลปกครองฯ มาตรา 70 ไม่คุ้มครองแล้ว แต่สิทธิของบริษัทยังมีอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องการฟ้องร้อง น.ส.3 ก แต่อย่างใด หากบริษัทไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา และมีพยานหลักฐานไม่ตรงกับคำวินิจฉัยของศาล บริษัทมีสิทธิจะนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองได้อีกครั้งหนึ่ง (ดูคลิปประกอบ)
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
อ่านประกอบ : เปิดที่มา น.ส.3 ก. 17 ไร่ บ.อสังหาฯ ภูเก็ต ก่อนกรณีดรามา‘สิระ’ ขายให้อดีตบิ๊ก ตร.-นักธุรกิจดัง