ดร.ศุภชัย แนะพัฒนาอีอีซี เชื่อมประเทศ CLMV
ดร.ศุภชัย ระบุอีอีซีเป็นโครงการชูโรงของประเทศ อยากเห็นแนวทาง ระยะเวลาที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่แผน พร้อมแนะพัฒนาอีอีซี เชื่อมประเทศ CLMV อย่าให้เหมือนท่าเรือแหลมฉบัง และให้ การบินไทย เป็นผู้นำการขับเคลื่อนด้านโลจิสติกส์
วันที่ 15 สิงหาคม ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการประชุมสหประชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Regional Connectivity:Opportunity Thailand” ในงานสัมมนา MICE TALK 2019 ณ โรงแรมเรเนซองส์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ
ตอนหนึ่ง ดร.ศุภชัย กล่าวถึงโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor:EEC) ว่า ที่ได้ยินมาเป็นเพียงแผนการคร่าวๆ สิ่งที่อยากเห็นคือการแนวทาง หรือข้อตกลงสนธิสัญญาการปฏิบัติ รวมถึงระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อจะได้ทราบถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะ EEC เป็นโครงการชูโรงของประเทศ และเป็นโครงการระดับชาติ
ขณะเดียกัน ดร.ศุภชัย กล่าวถึงสายการบินไทย (Thai Airways) ควรเป็นผู้นำการขับเคลื่อนด้านโลจิสติกส์ (Logistic) เขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี และเป็นศูนย์การขนส่งในประเทศ (domestic center) เพื่อเชื่อมต่อระหว่างประเทศ (International Connection) ไปพร้อมๆกับการสนับสนุนด้านการขนส่งที่รวดเร็วที่เกี่ยวข้องกับการค้าออนไลน์หรือธุรกิจยุคใหม่ (ยุคดิจิตอล)
“EEC ควรเป็นเรื่องของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment :FDI) เข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อนมากกว่ารัฐบาล หรือธุรกิจของคนไทย เนื่องจากสินค้าส่งออกของไทย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร ภาคเอกชนจะมีความรู้และเชี่ยวชาญมากกว่า ตัวอย่างเช่นในประเทศจีน การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจกว่าร้อยละ 50 เป็นผู้ลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา”
ดร.ศุภชัย กล่าวด้วยว่า EEC ควรจะเป็นโครงการที่เชื่อมต่อในระดับภูมิภาคเพื่อประโยชน์ของภูมิภาค ไม่ใช่เพียงแค่ประโยชน์ภายในประเทศ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้น ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ถือเป็นการสร้างท่าเรือที่ไม่คุ้มค่า เพราะสร้างท่าเรือเพื่อส่งออกสินค้าของประเทศเท่านั้น ไม่ได้เป็นท่าเรือนานาชาติ ฉะนั้น ประเทศไทย ควรพัฒนา EEC ให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิเช่น ประเทศ CLMV ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/PrinnP/
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/