AI- Machine Learning -Big Data ดร.ชิต ชี้ทางรอดเดียวบนลู่การแข่งขัน ปท.ยืนได้ยั่งยืน
ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ระบุ บนลู่การแข่งขัน AI, Machine Learning และ Big Data เป็น “หนทางรอด” เดียวของเราไปสู่ความยั่งยืน ย้ำชัดภารกิจสำคัญคือการพัฒนาการศึกษาบุคลากร รองรับการพัฒนาประเทศและเขตเศรษฐกิจ EEC ช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งยุค “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชั่น”
ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ EEC ด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากรและเทคโนโลยี กล่าวถึงบทบาทของ AI & Deep Tech ในงานแถลงข่าววิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เตรียมจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติปี 2562 ณ โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์ เทอร์มินอล 21 ถนนสุขุมวิท ว่า ไม่ว่าจะเป็น Block chain (โครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์), Cloud, AI (ปัญญาประดิษฐ์), Fintech (เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเงิน), Quantum Computing จะยิ่งเข้ามาเปลี่ยนธุรกิจอุตสาหกรรมสู่คุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในประเทศและตลาดโลกยิ่งขึ้น
“อาจกล่าวได้ว่า บนลู่การแข่งขัน AI, Machine Learning และ Big Data (ข้อมูลขนาดใหญ่)เป็น “หนทางรอด” เดียวของเราไปสู่ความยั่งยืน ภารกิจสำคัญคือการพัฒนาการศึกษาบุคลากร รองรับการพัฒนาประเทศและเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งยุค “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชั่น” (Digital Transformation)”
ดร.ชิต ยกตัวอย่างการลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรและการพัฒนางานวิจัย ระหว่าง Hewlett Packard Thailand (HPE Thailand) และสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) ใน EEC สร้างกรณีตัวอย่างสำคัญให้กับประเทศ เพื่อนำไปต่อยอดสู่แผนแม่บทอย่างเป็นรูปธรรม โครงการ EEC ตั้งเป้าที่จะผลิตบุคลากรในการรองรับงานในสาขาต่าง ๆ ประมาณ 479,000 คนใน 10 เขตคลัสเตอร์ภาคตะวันออก โดย 38,000 คนจะรองรับงานเกี่ยวกับหุ่นยนต์, 120,000 คนจะรองรับตลาดงานด้านการพัฒนาดิจิทัล และ 15,000 คนจะประกอบอาชีพ Data Scientists โดย HPE Thailand จะให้ความร่วมมือในการอบรม Data Scientists ในลักษณะ Train the Trainer เพื่อการพัฒนา AI ร่วมกับ 24 มหาวิทยาลัยชั้นนำ สู่การผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี โท เอก และนักวิจัยที่มีศักยภาพในการสร้างระบบ AI ที่ประยุกต์ใช้งานได้จริง แล้วยังมีความจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น โดยเฉพาะ EEC ซึ่งถูกวางไว้เป็น Smart City และ Digital Hub ในภูมิภาค
ด้านดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) กล่าวถึงดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชั่นจะเป็นเครื่องมือช่วยเปลี่ยนแปลงงานด้านวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ โดยเป็นโอกาสดีที่องค์กรและคนทำงานจะนำดิจิทัลมาเชื่อมโยงและปรับเปลี่ยนสู่องค์กรสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีคุณภาพมากขึ้น สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าแก่ลูกค้า ส่งเสริมให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น ช่วยลดต้นทุน ประหยัดพลังงาน และสร้างผลกำไรมากขึ้น
ดร.ธเนศ กล่าวอีกว่ายุค Digital Tranformation การเข้าถึงข้อมูลจะมีความแม่นยำและสะดวกมากยิ่งขึ้น แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แม้เศรษฐกิจจะมีความผันผวน เชื่อว่า ประเทศไทยก็จะได้รับผลดีจากการเจรจาการค้าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในกลุ่มประเทศอาเซียน + 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่ไทยคาดว่าจะเจรจาสำเร็จในปลายปี 2019 ดังนั้นตลาดจะขยายใหญ่เท่ากับประชากรครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผลดีและโอกาสของธุรกิจอุตสาหกรรมไทยและงานวิศวกรรมในอนาคต
สำหรับ “งานวิศวกรรมแห่งชาติ 2562” (National Engineering 2019) เป็นงานจัดแสดงผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กำหนดจัดวันที่ 13 – 15 พ.ย. 62 ณ ฮอลล์ 4 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Engineering for Society : Digital Transformation” โดยวัตถุประสงค์การจัดงาน ประกอบด้วย
1. เพื่อเป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมสู่วิศวกร ผู้ออกแบบ ผู้ผลิต ผู้ใช้งาน และประชาชนทั่วไป
2. เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมวิชาชีพ วิชาการ ทั้งในระดับอุตสาหกรรม และบุคคล สร้างการรับรู้และความเข้าใจในบทบาทวิศวกรรมที่สร้างประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและธุรกิจอุตสาหกรรม
3. เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมที่ทันสมัย
และ 4. เป็นเวทีกิจกรรมให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี โดยตอบรับแนวนโยบายของภาครัฐในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งปีนี้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa ได้มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัลในทุกภาคส่วน และเปิด 3 สถาบัน ได้แก่ สถาบันไอโอทีและนวัตกรรมดิจิทัล , สถาบันวิจัยปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
งานวิศวกรรมแห่งชาติปีนี้ ได้รวบรวมไฮไลท์เกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะและชีวิตทันสมัย (Smart City and Smart Life), พลังงานทางเลือก (Renewable Energy), การเปลี่ยนผ่านธุรกิจองค์กรด้วยดิจิทัล (Digital Transformation), การยกระดับวิศวกรรมในประเทศไทย (Leverage Thailand Engineering), เทคโนโลยีความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security), การพัฒนาด้วยระบบ BIM Development ภายในงานประกอบด้วยบูทนิทรรศการ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เครื่องมือและเทคโนโลยีงานวิศวกรรมทุกสาขาเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มุ่งสู่การต่อยอดนวัตกรรมเพื่อธุรกิจ New S Curve และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจก้าวไกล ชีวิตทันสมัย ความปลอดภัย และกระตุ้นการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่และคนไทย