"เสรีพิศุทธ์" เชื่อกรรมมีจริง ชูซื่อสัตย์ เกราะป้องกันตัว ขรก.
องคมนตรี ชี้ไทยอยู่รอดได้ ต้องเคารพคำตัดสินศาล "เสรีพิศุทธ์" แฉวงการตำรวจ ซื้อขายตำแหน่งหลักล้าน เชื่อ ขรก.อยู่ได้ต้องซื่อสัตย์ สุจริต "นิพิฏฐ์" ระบุ ส.ส.จุดยืนต้องชัด พูดเรื่องเดียวกันเป็นฝ่ายค้าน-รัฐบาลลิ้นไม่พลิก
วันที่ 22 กรกฎาคม ที่โรงแรมวินเซอร์ สวิทส์ กรุงเทพฯ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับเครือข่ายภาคี จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “แก้วิกฤตไทย ด้วยใจซื่อตรง” ในงานสัปดาห์รณรงค์ความซื่อตรงของสังคมไทย ภายใต้การขับเคลื่อนสมัชชาคุณธรรมปี 2555 โดยศ.กิตติคุณ น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ความซื่อตรงกับค่านิยมสังคมไทย” ตอนหนึ่งว่า ความซื่อสัตย์คือการประพฤติตรง จริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวง ซึ่งคำนี้มีเรื่องของจิตใจเข้าไปเป็นองค์ประกอบ และตามความเชื่อของสังคมไทย ใจถือเป็นประธาน ใจคิดดี คิดชั่วนำไปสู่การประพฤติ ทำให้ต้องมีการพัฒนาจิตใจเกิดขึ้น
องคมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ค่านิยมในความดีของประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก การปรับทิศทางให้ค่านิยมของสังคมกลับมายึดมั่นอยู่ในความดี รู้จักแยกแยะถูก ผิด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ประเทศอยู่รอดได้
โจทย์ใหญ่สอนเด็กให้ยึดมั่นความถูกต้อง
ส่วนเครื่องมือที่ใช้ตัดสินว่า เรื่องใดมีคุณธรรมหรือไม่นั้น ศ.กิตติคุณ น.พ.เกษม กล่าวว่า มีด้วยกัน 7 ประการ คือ
1. ศาสนธรรม ทุกศาสนามีหลักคำสอนในเรื่องความสัตย์ความจริง ยกย่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความรักความเมตตา ซึ่งการแปลคำสอนต่างๆ นั้นจะต้องตีความให้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
2.หลักนิติธรรม กฎหมายถือเป็นเครื่องประกันความมั่นคงของประเทศ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายขึ้นมาแล้ว กฎหมายต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต้องเคารพกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมายในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะพอใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ทั่วโลก 200 กว่าประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่คุ้นชินกับการอยู่กับกฎหมายมานานจะมีวัฒนธรรมของการ เคารพกฎหมาย เคารพคำพิพากษาของศาลอย่างมั่นคงมาก ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งอย่างไรก็ตาม สามารถตกลงได้โดยอาศัยกฎหมาย ศาล แต่สำหรับบางประเทศคงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อีกนาน
3
.หลักจริยธรรม เป็นหลักเกณฑ์ที่คนทั่วไป หรือคนในวิชาชีพนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อถือปฏิบัติและดูแลตนเอง ไม่ให้เละเทะ หรือศรัทธาต่ออาชีพนั้นๆ ลดลง ซึ่งหลักจริยธรรมนั้นนับเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่คนไทย โดยเราอาจต้องเริ่มต้นสร้างชุดจริยธรรมขึ้นมาเป็นของตนเอง เช่น ช่วงที่เกิดสึนามิในประเทศญี่ปุ่น เราบอกว่าคนญี่ปุ่นเป็นระเบียบ เข้าแถวรับสิ่งของ การบริหารจัดการดี ตรงข้ามกับเหตุการณ์สึนามิในไทย ดังนั้น ถ้าไทยอยากยกระดับวัฒนธรรมให้สูงขึ้น อาจต้องเริ่มต้นสร้างชุดจริยธรรมของตนเองขึ้นมา
4.ระบบธรรมาภิบาลในองค์กร ไม่ว่าจะภาครัฐ เอ็นจีโอ จะต้องมีความรับผิดชอบตามหน้าที่พันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อองค์กร เพื่อให้องค์กรนั้นเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ขณะเดียวกันต้องมีความรับผิด รับชอบ ปฏิบัติงานแล้วได้ดีต้องรับชอบ ผิดพลาดต้องรับผิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการมีอภิสิทธิ์ชนเหนือความรับผิดรับชอบ โบ้ยความผิดให้ลูกน้อง ทำให้องค์กรนั้นย่ำอยู่กับที่
5.ระบบคุณธรรมในครอบครัว คือคำสอนที่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ได้ปฏิบัติมาและเห็นคุณค่า จึงนำสอนลูกหลาน ซึ่งมาจากโครงสร้างความคิดของวัฒนธรรมนั้นๆ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเด็กมีเวลาอยู่กับปู่ย่าตายายน้อยกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ การถ่ายทอดความรู้คุณธรรมในครอบครัวจึงเกิดการสะดุด คำถามคือระบบคุณธรรมการสั่งสอนสิ่งดีงามในครอบครัวเหล่านี้จะยังมีอยู่หรือ ไม่ในปัจจุบัน
6.ระบบความเชื่อ ค่านิยม ธรรมเนียมของสังคม ซึ่งเป็นความเชื่อของชุมชน องค์กร บริษัท ที่พัฒนากลายเป็นวัฒนธรรม ค่านิยมของที่นั้นๆ
และ 7.บุคคลตัวอย่างในสังคม คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องมีตัวอย่างที่ดีให้ซึมซับ ไม่ใช่ยอมรับคนชั่วร้าย แต่ร่ำรวย
ศ.กิตติคุณ น.พ.เกษม กล่าวด้วยว่า วันนี้โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยคือ จะทำอย่างไรให้ลูกหลานยึดมั่นในความถูกต้อง ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ปฏิเสธสิ่งผิด และภูมิใจ พอใจในค่านิยมของของตนเอง
เสรีพิศุทธ์ ลั่นถูกปล้นตำแหน่ง เชื่อกรรมมีจริง
จากนั้นมีการอภิปรายหัวข้อ “ความ ซื่อตรงกับการพัฒนาประเทศ” โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตประธานอนุกรรมการศูนย์คุณธรรมฯ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส. พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงเรื่องความซื่อตรงกับการ พัฒนาประเทศ จากประสบการณ์รับราชการพบว่า ต้องเตรียมคนให้พร้อมร่างกาย ความคิด จิตใจ ปัญญา โดยเฉพาะคุณภาพชีวิต ในแง่ผู้บังคับบัญชาต้องพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาเรียนรู้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชานั้นจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้ความเป็นธรรม มีสวัสดิการ เงินชดเชยกรณีเสียชีวิต และถ้าทำดีต้องได้ดี แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียงด้วย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จากประสบการณ์ตลอดชีวิตราชการเจอปัญหามาก ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนหลายครั้งแต่ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงทำให้เราอยู่ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เป็นเกราะป้องกันตัวที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในวงการตำรวจก็รู้ดีว่ามีปัญหาเรื่องการโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่ง ถ้าตำแหน่งสารวัตรจ่ายหลักล้านบาท ผู้กำกับ ผู้การคิดดูว่าจะราคาเท่าไหร่ สำหรับตนนั้นก็ถูกกล่าวหา ถูกปล้นตำแหน่ง ไม่ผิดแต่ถูกปลดไปเฉยๆ เพื่อเอาตำแหน่งไปให้คนอื่น ซึ่งขณะนี้ตนก็ได้ต่อสู้อยู่ และบางข้อกล่าวหาอัยการก็สั่งไม่ฟ้อง ถามว่าเหตุการณ์เช่นนี้ใครจะรับผิดชอบ
“ส่วนสมัยนี้ก็เช่นกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แม้ไม่ได้คิดที่จะเป็นนายกฯ ตั้งแต่แรก แต่พอเข้ามาดำรงตำแหน่งก็ต้องการที่จะให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นายกฯ จึงต้องใช้วิธีจี้เอา เสนอตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และประธานบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ขณะนั้น สุดท้ายก็ทำให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ซวยไป ทั้งนี้ ถ้าเจออุปสรรคดังกล่าวต้องตั้งสติ คิดแก้ปัญหากันไป เพราะอุปสรรคเป็นธรรมชาติของชีวิต ยิ่งผ่านมากยิ่งแข็งแกร่ง และความดี ความซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น ที่จะเป็นเกราะป้องกันตัวที่ดี นอกจากนี้โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า กรรมมีจริง
เป็นฝ่ายค้าน-รบ. จุดยืนต้องไม่พลิก
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่มีอาชีพไหนที่ทำความดีให้กับสังคมได้เท่านักการเมือง ขณะเดียวกันก็ไม่มีอาชีพไหนที่ทำความเลวให้กับสังคมได้เท่านักการเมือง อยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคน ดังนั้นในเรื่องคุณธรรมคงต้องเริ่มที่ตนเองเป็นอันดับแรก ไม่ใช่คิดหรือมองไปที่คนอื่น และในความเห็นของตนนั้นมองว่า การที่เราชอบพูดกันว่า อนาคตของประเทศฝากไว้กับเยาวชน เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบ
“ถามว่า ถ้าต้นแบบ คือผู้ใหญ่ในวันนี้ไม่ดี จะไปหวังให้เด็กเป็นคนดีได้อย่างไร อีกทั้งในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนเด็กมีน้อย ถ้าเราไม่กลับหลักคิดนี้ มองความซื่อตรงว่าต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ในสังคมปัจจุบันแล้ว ประเทศไทยคงเละ”
นายนิพิฏฐ์ กล่าวถึงความซื่อตรงในการพัฒนาประเทศ ในฐานะนักการเมืองมองว่า ข้าราชการ นักการเมือง ประชาชนต้องร่วมกัน นักการเมือง ซึ่งเป็นผู้บริหารนอกจากตั้งตนอยู่ในความสุจริตแล้ว ต้องกำกับให้ข้าราชการให้อยู่ในแถวด้วย ไม่ใช่ตนเองสุจริตฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจข้าราชการ ผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันนักการเมืองต้อมีความอดกลั้นต่อผลประโยชน์ ไม่ยึดติดตำแหน่ง รู้จักเกษียณอายุ
ส่วนรักษาคำมั่นต่อประชาชนนั้น นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า แนวทางที่ตนปฏิบัติคือ การบันทึกและเก็บสำเนาเรื่องที่ตนพูด หรืออภิปรายไว้ เพื่อย้อนกลับไปประเมินตนเอง ตรวจสอบจุดยืนของตนเอง ต้องเป็นฝ่ายค้านพูดไว้อย่างไร มาเป็นฝ่ายรัฐบาลเรื่องเดียวกันต้องพูด มีจุดยืนเหมือนกัน ขณะเดียวกันการปฏิบัติหน้าที่ต้องทำให้สมสถานะตามตัวแสดงนั้นๆ แต่พอลงจากเวที ยุติบทบาทต้องรีบถอดหัวโขนให้เร็วที่สุด อย่างยึดติดกับตำแหน่ง
สับ ส.ส.ดีแต่แฉทุจริต สร้างข่าว ไม่เคยตามงานจนจบ
ด้านนายยุทธพงศ์ กล่าวถึงความซื่อตรงในหน้าที่ของ ส.ส. ว่า กว่าจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ส.ส.ได้ต้องต่อสู้กันมาอย่างยากลำบาก ทุกคนต่างอยากทำงานทำหน้าที่ แต่เอาเข้าจริงทุกรัฐบาลพบเหตุการณ์สภาล่มบ่อยครั้ง ส.ส.กลับไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ หรือแม้แต่การทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการต่างๆ ก็พบว่า เข้าประชุมกันล่าช้ากว่ากำหนด องค์ประชุมไม่ครบ เรื่องเหล่านี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบในหน้าที่
"อีกทั้งยังพบปัญหาที่ว่า ส.ส.ชอบเป็นเจ้าภาพเปิดประเด็นทุจริตเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ก็ทำพอให้เป็นข่าว ไม่มีการสานต่อหรือติดตามกระบวนการตรวจสอบจนจบ หรือได้ข้อยุติในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ อาจเพราะเพราะกระบวนการติดตามต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ บางคดีใช้เวลาถึง 8 ปี ดังนั้น ผมคิดว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ไม่ต้องทำหลายเรื่องจนเกินไป ทำ 2-3 ก็พอแต่ต้องติดตามให้จบ"
ส่วนจะทำหน้าที่ให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธาได้อย่างไรนั้น นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า นโยบายที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียง เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้ว จะทำได้หรือไม่เป็นเรื่องสำคัญ มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนด้วย
