คสช.เห็นชอบปรับเกณฑ์เอชไอเอ รับประสานแก้ปัญหาโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน
คกก.สุขภาพแห่งชาติฯ คาดปรับเอชไอเอครอบคลุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ภายใน 6 ด. เอชไอเอชุมชนเขาหินซ้อนระบุโรงไฟฟ้าถ่านหินจะก่อฝนกรด-ปนเปื้อนปรอท กระทบเกษตร-ห่วงโซ่อาหาร
วันที่ 20 ก.ค.55 ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ มีการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.)โดยมีนายวิทยา บูรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม โดย น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติช(สช.) กล่าวภายหลังการประชุมว่า คสช.ให้ความเห็นชอบต่อการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากนโยบายสาธารณะ(เอชไอเอ) ซึ่งตามระเบียบจะต้องมีการปรับปรุงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และเหมาะสมกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามเป็นการเห็นชอบในกรอบเบื้องต้น ซึ่งหลังจากนี้จะต้องดำเนินการยกร่างฉบับสมบูรณ์และต้องมีกระบวนการการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชนให้มากที่สุด คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
“เอชไอเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินผลกระทบสุขภาพตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพชุมชน ปกป้องพื้นที่ วิถีชีวิต สุขภาวะ ซึ่งในหลักเกณฑ์เอชไอเอมี 4 กรณี 1.โครงการหรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ ตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ 2.กรณีการกำหนดนโยบายและการดำเนินกิจกรรมด้านการวางแผนพัฒนา 3.กรณีที่บุคคลหรือคณะบุคคลร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 11 พ.ร.บ.สุขภาพฯ ให้มีการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ 4.กรณีการทำเอชไอเอเพื่อกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคม เช่น เอชไอเอชุมชน”
ด้าน น.พ.วิพุธ พูลเจริญ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ กล่าวว่าการทำเอชไอเอที่ผ่านมามักพบข้อจำกัดและปัญหาทั้ง 4 กรณี แม้จะใช้กรอบแนวคิดเดียวกัน แต่การให้อำนาจและการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนยังมีความแตกต่างกันทั้งนี้จากการติดตามและแลกเปลี่ยนรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้อง ในหลักการแล้วเห็นว่าควรมีการปรับคำนิยามโดยไม่ควรมองแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ควรมองให้ครอบคลุมถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตด้วย รวมทั้งควรมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดกระบวนการทำเอชไอเอด้วยความสมัครใจ พัฒนาให้แทรกอยู่ในการวางแผนและโครงการพัฒนาทุกระดับ รวมถึงต้องมีการปรับวิธีการดำเนินงานให้มุ่งผลลัพธ์มากกว่ากิจกรรมที่ต้องดำเนินการ
นพ.วิพุธ กล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของการคัดกรองโครงการจะต้องหาแนวทางให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิอย่างกว้างขวาง หรือหาแนวทางสนับสนุนงบประมาณให้ชัดเจน เน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากขึ้น โดยเฉพาะขั้นตอนการกำหนดขอบเขตการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยสาธารณะ (Public scoping) ซึ่งที่ผ่านมากลายเป็นเวทีขัดแย้ง จึงต้องปรับปรุงให้เป็นการกำหนดขอบเขตและประเด็นสำคัญที่ควรทำการประเมินที่มาจากสาธารณะอย่างแท้จริงเ พื่อคาดการณ์ว่าโครงการหรือนโยบายต่างๆจะเกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและลบหรือจะสร้างความเหลื่อมล้ำหรือไม่อย่างไร
นอกจากนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ยังให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพโดยชุมชน(เอชไอเอชุมชน) กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 600 เมกะวัตต์ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา และให้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(สกพ.) กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สย.) คณะกรรมการองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
โดยเอชไอเอชุมชน ระบุว่าพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน ปัจจุบันมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำคลองท่าลาด ซึ่งเป็นลุ่มน้ำสาขาสำคัญของลุ่มน้ำบางปะกง และเป็นพื้นที่ผลิตอาหารที่มีศักยภาพในการเลี้ยงคนทั้งในและต่างประเทศ เป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ส่งขายสหภาพยุโรป เป็นคลังสำรองพันธุกรรมอาหาร และช่วยเหลือชุมชนอื่นในยามวิกฤติ เช่น แบ่งข้าว ปลา อาหาร และเมล็ดพันธุ์ให้กับพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย การตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจทำให้เกิดฝนกรดทำความเสียหายให้ภาคการเกษตร เสี่ยงต่อการปนเปื้อนปรอทและโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร รวมทั้งก่อให้เกิดความขัดแย้งในการแย่งชิงน้ำอีกด้วย
เอชไอเอชุมชนดังกล่าว มีข้อเสนอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองพื้นที่ผลิตอาหารในทุกพื้นที่ของประเทศ โดยในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองท่าลาดควรปรับข้อกำหนดผังเมืองไม่ให้มีอนุญาตโครงการหรือกิจการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อพื้นที่ผลิตอาหารและความมั่นคงด้านอาหาร ควรมีการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่ผลิตอาหารและผลักดันให้มีการประกาศเขต “พื้นที่คุ้มครองแหล่งอาหาร” รวมทั้งให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรมยั่งยืน โดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจะประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ และชุมชนเพื่อจัดกลไกในการแก้ไขปัญหาผลกระทบเดิมที่มีอยู่แล้ว และวางกรอบการพัฒนาอนาคตของลุ่มน้ำคลองท่าลาดให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ต่อไป.
--------------------
ภาพประกอบจาก : http://deangchiangmai.blogspot.com/2010/07/blog-post_2088.html