ฉบับเต็ม! คำแถลง 'อภิสิทธิ์' :การเมืองที่ปราศจากหลักการ ผมไม่สามารถทำบาปนั้นได้
"...สิ่งที่พวกเราหลายคนได้ประสบมาในช่วงของการเลือกตั้ง ที่ได้เห็นถึงการใช้อำนาจรัฐ ใช้เงิน การได้คะแนนเสียงมาด้วยวิธีการที่ไม่ชอบ จนถึงการกระทำเช่นการสรรหา ส.ว. การแทรกซึมสื่อมวลชนบางแขนง พฤติกรรมที่ไม่สามารถทำให้องค์กรอิสระไม่สามารถตรวจสอบ ทัดทาน รักษาความถูกต้องตามกติกาได้ ผมยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่จริง และจึงทำให้สิ่งที่เราใช้คำว่าการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่แค่วาทกรรมแต่เป็นความเป็นจริง ซึ่งไม่แตกต่างจากพฤติกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2548 ในวันที่ผมยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณ พฤติกรรมหลายอย่างที่เหมือนกัน..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2562 ที่รัฐสภาชั่วคราว อาคาร ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงจุดยืนประกาศลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ภายหลังจากที่พรรคพระชาธิปัตย์มีมติเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐและร่วมโหวต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี (อ่านประกอบ :รักษาสัจจะปชป.-ไม่หนุน บิ๊กตู่! 'อภิสิทธิ์' ลาออกส.ส. - ปาร์ตี้ลิสต์ 'สุทัศน์' ขยับเป็นแทน, ปชป.มติข้างมาก 61 เสียงตั้ง รบ.กับ พปชร.- 'อภิสิทธิ์'เผยรู้พรุ่งนี้ปมโหวตนายกฯ)
---------------------
นายอภิสิทธิ์ แถลงว่า "ผมได้แสดงจุดยืนทางการเมืองว่าไม่ได้สนับสนุนการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากการเลือกตั้ง การแสดงจุดยืนของผมในขณะนั้นเป็นการแสดงจุดยืนในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และจุดยืนที่แถลงผมก็มั่นใจว่ามีความสอดคล้องกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้มีเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว และยังสอดคล้องกับเป้าหมายที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอต่อประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งก็คือเราต้องการเห็นประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต ซึ่งเรามั่นใจว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดกับสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่ประสบความสำเร็จไม่เป็นตามเป้าหมาย แม้ผมจะได้แสดงความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าพรรคด้วยการลาออก แต่ก็ยังมีพี่น้องประชาชนเกือบ 4 ล้านคน ได้ตัดสินใจลงคะแนนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยทราบว่าจุดยืนที่ผมในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงไว้นั้นเป็นอย่างไร
ผมต้องขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องประชาชนเกือบ 4 ล้านคน ที่ได้ให้การสนับสนุนจุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น และผมสำนึกในบุญคุณของคนเหล่านั้นตลอดเวลา และตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องพยายามทำให้สิ่งที่พี่น้องประชาชนสนับสนุนนั้นมีความเป็นจริงให้ได้
นับตั้งแต่การเลือกตั้งผ่านพ้นมา ผมก็ยังได้ยึดมั่นในจุดยืนดังกล่าว และก็พยายามที่จะโน้มน้าวให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้รักษาจุดยืนดังกล่าวไว้ แล้วจนถึงวันนี้ผมก็ยังยืนยันจุดยืนของผมเช่นเดิม
ซึ่งผมมองว่าทั้งพฤติกรรมและเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ผมได้แสดงจุดยืนมาจนถึงวันนี้ ก็ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศชาติยังต้องการให้ประชาชนเป็นใหญ่และประชาธิปไตยสุจริต
สิ่งที่พวกเราหลายคนได้ประสบมาในช่วงของการเลือกตั้ง ที่ได้เห็นถึงการใช้อำนาจรัฐ ใช้เงิน การได้คะแนนเสียงมาด้วยวิธีการที่ไม่ชอบ จนถึงการกระทำเช่นการสรรหา ส.ว. การแทรกซึมสื่อมวลชนบางแขนง พฤติกรรมที่ไม่สามารถทำให้องค์กรอิสระไม่สามารถตรวจสอบ ทัดทาน รักษาความถูกต้องตามกติกาได้ ผมยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่จริง และจึงทำให้สิ่งที่เราใช้คำว่าการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่แค่วาทกรรมแต่เป็นความเป็นจริง ซึ่งไม่แตกต่างจากพฤติกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2548 ในวันที่ผมยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณ พฤติกรรมหลายอย่างที่เหมือนกัน
ถ้าท่านนึกไม่ออก ผมขอแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ที่ชื่อ Animal Farm และท่านจะได้ซาบซึ้งและเข้าใจว่าพฤติกรรมของการต่อต้าน ต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้ว กับกระทำเหมือนกันทุกประการนั้นเป็นอย่างไร
ผมก็หวังว่าผมคงไม่ต้องไปแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือเล่มต่อไปของผู้เขียนคนเดียวกันที่ชื่อว่า 1984 ท่านก็ไปดูก็แล้วกันว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเรื่องอะไร
เมื่อพฤติกรรมต่างๆเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าผมก็ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการประชุมร่วม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 4 มิ.ย. เพื่อชี้แจงว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะเลือกเส้นทางใด ซึ่งท่านก็ทราบแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีมติในการที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และเข้าไปร่วมรัฐบาล
ด้วยความเคารพในมติของเสียงข้างมาก ผมก็ต้องยืนยันว่าผมไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว แต่ก็ได้บอกกับที่ประชุมไปแล้วว่าเมื่อพรรคมีมติเช่นใด สมาชิกพรรคก็ควรจะปฏิบัติเช่นนั้น ไม่ควรไปฝ่าฝืนมติพรรค ที่ผมไม่เห็นด้วย ยอมรับว่าแอบหวังลึกๆว่าสิ่งที่พรรคพยายามจะทำจะประสบความสำเร็จ นั่นก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงความตั้งใจของเพื่อนๆในพรรคที่ตั้งใจจะไปทำงานแก้ไขเศรษฐกิจ ปากท้องให้กับประชาชน
แอบหวังลึกๆว่าคนที่พรรคประชาธิปัตย์ไปพายเรือให้ จะกลับใจ สร้างประชาธิปไตย และสร้างธรรมาภิบาล
แต่ที่ผมยังยืนยันจุดยืนเดิมนั้น ก็เพราะว่าผมเสียดายโอกาส โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์แม้จะกลายเป็นพรรคขนาดกลาง สามารถที่จะสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติในระยะยาว ด้วยการตรวจทำหน้าที่เป็นฝ่ายที่ 3 ที่เป็นกลาง พร้อมที่จะตรวจสอบฝ่ายรัฐบาล ที่คาดหมายกันว่าจะเป็นการตั้งรัฐบาลโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง อะไรที่ดี พรรคก็สามารถสนับสนุนได้ อะไรที่ไม่ดี พรรคก็ควรจะตรวจสอบอย่างอิสระและแสดงถึงความไม่เห็นด้วย เพื่อเป็นการถ่วงดุลการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของฝ่ายนิติบัญญัติ
ผมเสียดายโอกาสในการที่จะเริ่มต้นจากการมีพื้นที่เล็กๆแต่เติบโตต่อไปให้เป็นทางสายหลักของประชาธิปไตย โดยไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแอบอ้างนำเอาคำว่าประชาธิปไตยมาบังหน้า เป็นเสื้อคลุม แต่ไม่มีพฤติการณ์อันเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ผมเสียดายโอกาสที่เราไม่สามารถจะสร้างพื้นที่ที่จะทำให้การเมืองไทยหลุดพ้นจากความเกลียดเผด็จการหรือด้วยความกลัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ผมจึงต้องเรียนกับทุกท่านว่าเมื่อความพยายามของผมไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็ต้องมีการตัดสินใจว่าสิ่งที่ผมสมควรจะดำเนินการต่อไปจะเป็นอย่างไร
ประการแรกที่ผมต้องทำก็คือการขอโทษต่อพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งที่ผ่านมา โดยคาดหวังว่าพรรคจะรักษาจุดยืนและอุดมการณ์ตามที่ผมได้พูดไว้ในฐานะหัวหน้าพรรค
ประการที่สอง ที่ผมจะต้องทำในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ เมื่อมีการประชุมรัฐสภาก็คือวาระการเลือกนายกรัฐมนตรี
ผมคงไม่สามารถเดินเข้าไปในห้องประชุมและลงคะแนนเพื่อเป็นการฝ่าฝืนมติพรรคได้ ผมเป็นนักการเมืองซึ่งสนับสนุนระบบพรรคการเมือง ได้รับโอกาสจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นหัวหน้าพรรคยาวนานกว่า 10 ปี ผมทราบดีว่านักการเมืองที่ดี สมาชิกที่ดีต้องมีวินัย จะให้ผมเดินเข้าไป แล้วออกเสียงว่าผมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็ทำไม่ได้ เพราะยิ่งใหญ่กว่ามติพรรคเสียอีก คือสัญญาประชาคมที่ผมให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
ผมขอบคุณเพื่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวานนี้ที่พยายามเสนอทางออกให้กับผมว่าอยากจะช่วยรักษาเกียรติภูมิให้กับผม ด้วยการเสนอให้ผมงดออกเสียง ผมได้ตอบไปในที่ประชุมแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีหน้าที่ที่จะมารักษาเกียรติภูมิให้กับคนหนึ่งคนใด พรรคมีหน้าที่รักษาเกียรติภูมิของพรรค ส่วนการรักษาเกียรติภูมิของผมเป็นหน้าที่ของผม ผมจึงปฏิเสธแนวทางที่จะให้ผมเป็นข้อยกเว้น และให้ผมงดออกเสียงในที่ประชุม
แต่ผมทราบดีว่าปัญหาทั้งหมดมันไม่จบในวันนี้แน่นอน ทุกสัปดาห์ ผมก็ต้องมาเผชิญกับปัญหานี้อยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ต้องยอมรับว่าใน 27 ปีของการของ ส.ส. ของผม ผมไม่เคยอึดอัดเท่ากับการลุกขึ้นลงมติเพื่อให้เลื่อนการเลือกประธานรัฐสภาทั้งๆที่ไม่มีเหตุผลที่จะตอบต่อสังคม ผมก็ต้องถือโอกาสขอโทษกับพี่น้องประชาชน แต่ผมทำไปก็เพราะว่าไม่ต้องการฝืนมติพรรค และลดน้ำหนักในการที่ผมจะไปต่อสู้ภายในพรรค เพื่อที่จะให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องในเรื่องที่ใหญ่กว่า ดังนั้นเมื่อมาถึงวันนี้ผมก็เหลือทางเดียวที่จะรักษาเกียรติภูมิ ไม่ใช่เฉพาะของผม แต่เกียรติภูมิของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่า "สัจจังเวอมตาวาจา" ที่จะตั้องรักษาคำพูดที่กล่าวไว้กับพี่น้องประชาชน
เพราะการทำงานการเมืองของผม ผมยึดถือหลักการและอุดมการณ์เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเลื่อนลอย เพราะผมเชื่อว่าการเมืองและหลักการเท่านั้นที่จะสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนและประเทศชาติในระยะยาวได้
มหาตม คานธี เคยส่งจดหมายให้กับหลานพูดถึงบาป 7 ประการในสังคม หนึ่งในนั้น คือ การเมืองที่ปราศจากหลักการ ผมไม่สามารถทำบาปนั้นได้ ผมจึงจำเป็นที่จะต้องลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
"ขอบคุณครับ"
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/