“นลินี” ปลุกพลังโจ๋ กด like กองทุนสตรี อัดฉีดเงินปลายก.ค.นี้
รัฐบาลส่งรมต.สำนักนายกฯ หาเสียงวัยรุ่นหนุนกองทุนสตรี โปรยยาหอมอัดฉีดจังหวัดละ 100 ล้านบาท ปลายก.ค.นี้
วันที่ 16 ก.ค. 55 ที่หอประชุมวิทยาลัยราชพฤกษ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ประธานกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นประธานพิธีเปิดงาน "รวมพลังวัยรุ่นไทยกด like กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" และกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยภายในงานมีนักเรียน นักศึกษา และสตรีจังหวัดนนทบุรีมาร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน
รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า ยินดีที่ จ.นนทบุรีจัดงานขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพื่อให้กองทุนนี้เป็นของสตรี โดยสตรี และเพื่อสตรีทุกคน เพียงลงทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือ พัฒนา และสร้างศักยภาพของสตรีทุกคน รวมถึงคนในครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม โดยเปิดโอกาสให้สตรีที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เริ่มมีวุฒิภาวะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังพอจะช่วยขับเคลื่อนชุมชนและสังคมได้ ที่ผ่านมาสตรีที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่เป็นสตรีวัยแรงงานไปจนถึงผู้สูงอายุ ดังนั้นการรวมพลังของคนรุ่นใหม่ในจ.นนทบุรี ซึ่งถือเป็นจังหวัดนำร่องในการสร้างกระแสความตื่นตัวของวัยรุ่นที่ให้ความสนใจกับกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีครั้งนี้ จึงมีประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมของเยาวชน นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งจะเป็นตัวอย่างให้แก่จังหวัดอื่น ๆ ด้วย
รมต.สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสังคมเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และการกดขี่ทางเพศต่อเด็กและผู้หญิงเพิ่มขึ้น และยังพบว่า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และทำแท้งมีช่วงอายุที่น้อยลง ขณะที่อัตราการตั้งครรภ์และทำแท้งเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจึงเป็นช่องทางช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่สตรี ทั้งปัญหาการดำเนินชีวิต ปัญหาความไม่เสมอภาค ขาดโอกาสในสังคม การตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และการกดขี่ทางเพศ นอกจากนี้ ยังจะเป็นเครื่องมือให้สตรีทุกคนรวมถึงยุวสตรีได้ใช้พัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ
"น้อง ๆ ทุกคน อาจจะเคยเห็นว่าในจังหวัด อำเภอ ชุมชน หรือแม้แต่ในโรงเรียนของเรา มีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่น มีการจัดตั้งชุมนุมหรือชมรมอาสาบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อนช่วยเพื่อน ชมรมพัฒนาทักษะด้านภาษา คุณธรรมจริยธรรม หรือชมรมฝึกอาชีพ เป็นต้น ซึ่งหลายครั้งต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางโรงเรียนหรือผู้มีจิตศรัทธาสมทบเงินเข้ามาเพื่อเป็นทุนใช้ในการทำกิจกรรม แต่นับจากนี้ ทุกคนจะมีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ดูแลสุขภาพ เพิ่มทักษะความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2558 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่ถูกกำหนดให้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างประเทศสมาชิก หรือการเรียนรู้วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งน้อง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ในการฝึกอบรม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทุกคนวางแผนร่วมกันได้ โดยรวมกลุ่มกันตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป" รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ฝากถึงสตรีไทยทุกคน ขอให้เตรียมรวมกลุ่มกัน 5 คน เพื่อเสนอโครงการขอรับทุน รวมถึงองค์กรสตรีด้วย ส่วนผู้ที่ต้องการรับทราบข่าวสารความเคลื่อนไหวของกองทุนฯ ยังสามารถลงทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อยากจะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมในการช่วยเหลือและดูแลสตรี โดยติดตามข่าวสารของกองทุนฯ ได้ทางเว็บไซต์ www.womenfund.thaigov.go.th และเข้าไปกด like ที่ Fanpage ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
ด้านน.ส. สุพัตรา บำเพ็ญเพียร นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการนนทบุรี กล่าวว่า มีความประทับใจเพราะกิจกรรมไม่น่าเบื่อ ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของสตรีในสังคม ในอนาคตเมื่อสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ แล้ว อยากจะทำโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกข่มเหงรังแก
สำหรับการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีของรัฐบาล ขณะนี้มีสตรีให้ความสนใจเข้าเป็นสมาชิกแล้วกว่า 13 ล้านคน และยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีกำหนดปิดรับลงทะเบียน ตลอดจนได้มีการคัดเลือกคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีระดับตำบล จังหวัด และกรุงเทพมหานครแล้ว เหลือเพียงการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในทุกระดับ และการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีระดับชาติ เพื่อนำไปสู่การโอนเงินให้แก่จังหวัดเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท ต่อไป โดยรัฐบาลกำหนดจัดพิธีกดปุ่มโอนเงินไปให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 31 ก.ค. นี้ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธี ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี
ที่มาภาพ : http://www.ptp.or.th/news/m-detail.aspx?news_id=3249