สตง.รุดสอบโครงการผลิตข้าวปลอดภัยพะเยาใช้จ่ายงบไร้ประสิทธิภาพ เกิดมูลค่าเสียโอกาส175 ล.
สตง. รุดตรวจสอบโครงการเพิ่มผลิตภาพคุณภาพการผลิตข้าวปลอดภัย จว.พะเยา วงเงิน 317.62 ล้าน พบปัญหาเพียบ หน่วยงานรัฐขาดบูรณาการทำงานร่วมกัน ใช้ทรัพย์สินรัฐไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ จัดกิจกรรมไม่เป็นไปตามระเบียบกม. ส่งผลให้เกิดมูลค่าเสียโอกาสเป็นเงินกว่า 175 ล้าน ร่อนหนังสือแจ้งผลพร้อมข้อเสนอแนะเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว
นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สตง.ได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบโครงการเพิ่มผลิตภาพและคุณภาพการผลิตข้าวปลอดภัย จังหวัดพะเยา ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ หน่วยงานที่กำกับดูแล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วนหลังพบหน่วยงานผู้รับผิดชอบกิจกรรมไม่มีการบูรณาการร่วมกัน มีทรัพย์สินไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ขณะที่การดำเนินกิจกรรมไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการ ที่เกี่ยวข้องด้วย
นายประจักษ์ ระบุว่า โครงการดังกล่าวดำเนินงานภายใต้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 848.57 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อบริหารการผลิตและการจัดการสินค้าเกษตรในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรผู้ผลิต ดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดน่าน โดยจังหวัดพะเยาได้รับงบประมาณสูงสุด รวมทั้งสิ้น 317.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 37.43 ของงบประมาณทั้งหมด และมีการดำเนินกิจกรรม 21 กิจกรรม ภายใต้ความรับผิดชอบของ 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา มหาวิทยาลัยพะเยา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดพะเยา สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดพะเยา โครงการชลประทานพะเยา และสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพะเยา
อย่างไรก็ดี สตง.ตรวจสอบพบข้อสรุปที่สำคัญ ดังนี้
1. หน่วยงานผู้รับผิดชอบกิจกรรมไม่มีการบูรณาการร่วมกัน โดยมีการนำโครงการตามภารกิจหลักของแต่ละหน่วยงาน และกิจกรรมตามความต้องการของภาคเอกชนรวมเป็นกิจกรรมย่อยของโครงการ ไม่มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันตามวัตถุประสงค์ของโครงการ นอกจากนี้ ยังพบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบมีการจัดทำกิจกรรมย่อยที่มีลักษณะและค่าใช้จ่ายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ดำเนินการในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จำนวน 4 กิจกรรมย่อย ได้แก่ กิจกรรมฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกข้าว กิจกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ กิจกรรมสนับสนุนครุภัณฑ์ให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนภายในจังหวัดพะเยา และกิจกรรมแสดงสินค้า จำหน่ายสินค้า และจับคู่เจรจาการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 22.44 ล้านบาท ส่งผลให้การใช้งบประมาณจำนวนดังกล่าวเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0212.1/ว 7427 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ซึ่งกำหนดให้จัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการ บูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวิสัยทัศน์ เป้าหมายและตัวชี้วัด ของกลุ่มจังหวัดที่กำหนดไว้
2. ทรัพย์สินไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ จากการตรวจสอบวัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งทรัพย์สินอื่นของโครงการ จำนวนทั้งสิ้น 82 รายการ เบิกจ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 146.67 ล้านบาท พบว่า ทรัพย์สินของรัฐมีการใช้ประโยชน์ตรงตามวัตถุประสงค์เพียง 12 รายการ คิดเป็นร้อยละ 14.63 ของจำนวนทรัพย์สินทั้งหมด ส่วนทรัพย์สินอีก 70 รายการ คิดเป็นร้อยละ 85.37 ของจำนวนทรัพย์สินทั้งหมด เบิกจ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 85.27 ล้านบาท พบว่า มีการใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า 19 รายการ เบิกจ่ายเป็นเงิน 5.96 ล้านบาท ใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 14 รายการ เบิกจ่ายเป็นเงิน 8.85 ล้านบาท ไม่มีการใช้ประโยชน์ 31 รายการ เบิกจ่ายเป็นเงิน 26.77 ล้านบาท และเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการ 6 รายการ เบิกจ่ายเป็นเงิน 43.69 ล้านบาท (จากงบประมาณ 149 ล้านบาท คงเหลืองบประมาณที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย 105.31 ล้านบาท)
3. การดำเนินกิจกรรมไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการ ที่เกี่ยวข้อง จากการตรวจสอบพบว่า การจัดทำและบริหารสัญญาจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 6 สัญญา มูลค่าตามสัญญา 57.67 ล้านบาท เช่น คณะกรรมการตรวจรับการจ้าง ตรวจรับงานจ้างไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ตามข้อกำหนดในสัญญาจ้าง คณะกรรมการกำหนดราคากลาง กำหนดราคากลางครุภัณฑ์สูงกว่าราคามาตรฐานที่สำนักงบประมาณกำหนด นอกจากนี้ ยังตรวจพบการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากโครงการไม่เป็นไปตามระเบียบและหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง เช่น ไม่ดำเนินการแจ้งรายการอาคาร สิ่งปลูกสร้าง 8 รายการ เบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 71.16 ล้านบาท แก่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ เพื่อขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุภายใน 30 วัน ส่งผลให้หน่วยงานราชการและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนไม่สามารถดำเนินการขอใช้/ ขอเช่าอาคารสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์และระเบียบกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
“สาเหตุที่เกิดปัญหาดังกล่าวเนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมุ่งเน้นการปฏิบัติงานให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ให้ความสำคัญกับการประสานงานกับหน่วยงานอื่นภายในจังหวัดพะเยาและจังหวัดอื่นในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ไม่พิจารณาถึงความเหมาะสมของครุภัณฑ์ที่สนับสนุนกับศักยภาพของกลุ่มที่ได้รับ ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของรัฐไม่คุ้มค่า ตลอดจนขาดการติดตามประเมินผลการใช้ประโยชน์จากครุภัณฑ์ สิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดมูลค่าเสียโอกาสจากกรณีทรัพย์สินไม่มีการ ใช้ประโยชน์ และทรัพย์สินของรัฐที่ยังไม่ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ ประมาณ 175.77 ล้านบาท ซึ่งทำให้การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่สามารถพัฒนาอาชีพ ยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง” ผู้ว่าฯ สตง.กล่าว
ผู้ว่าฯ สตง.ยังระบุด้วยว่า จากกรณีข้างต้น สตง. จึงได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าว พร้อมข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ หน่วยงานที่กำกับดูแล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ให้มีการกำชับให้หน่วยงานภายในจังหวัดพะเยาที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดดำเนินการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มจัดทำโครงการจนถึงการติดตามประเมินผลหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ ในการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด หากมีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ครุภัณฑ์ รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง ให้นำข้อมูลรายการทรัพย์สินที่เกิดจากการใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านมา เข้าร่วมพิจารณาถึงความจำเป็น ความประหยัดและคุ้มค่าจากการจัดหารายการทรัพย์สินใหม่ รวมถึงกำหนดให้มีการติดตามการใช้ประโยชน์เป็นประจำเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจากรายการทรัพย์สินที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือนำไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯลฯ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/