‘พล.อ.เปรม’ เอกบุรุษคู่บัลลังก์ ผู้จงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์
เปิดเรื่องเล่า 'พล.อ.เปรม' บุรุษคู่บัลลังก์ ครั้นถวายงานรับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ จงรักภักดียิ่งชีพชีวาอาตน์
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้มีความเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีพ โดยดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี 2 แผ่นดิน กล่าวคือ
แผ่นดินแรก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 มีบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีเมื่อ 23 ส.ค. 2531 โดยเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อ 26 ส.ค. 2531 ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี เมื่อ 4 ก.ย. 2541 จนสิ้นรัชกาล
แผ่นดินสอง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรีอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2559 จนถึงแก่อสัญกรรม
ในโอกาสนี้จะกล่าวถึงเฉพาะแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9
โดย พล.อ.เปรม เคยเขียนบทความเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวสยาม” ลงในหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี” ซึ่งจัดทำขึ้นเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 5 ธ.ค. 2554 โดยบรรยายถึงพระกรุณาอันแผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างซาบซึ้ง อันแสดงถึงความจงรักภักดี
ความตอนหนึ่ง พล.อ.เปรม เขียนว่า ผู้เขียนและชาวสยามทุกคนต่างมีบุญวาสนา มีโชคดีเท่าเทียมกันที่ประเทศไทยของเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นี้ ผู้เขียนมีโอกาสทำงานถวายเป็นครั้งคราว ตั้งแต่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชองครักษ์เวร เมื่อ 14 เม.ย. 2512 และขออนุญาตใช้คำว่า “รับใช้บ่อยขึ้น” ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2517 ตั้งแต่ผู้เขียนดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 จนกระทั่งเป็นนายกรัฐมนตรี จวบจนปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 5 พ.ค. 2493 ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
นับแต่วันนั้นถึงวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการมาโดยตลอด ทรงยังประโยชน์สุขและความร่มเย็นให้บังเกิดแก่ราษฎรเป็นไปตามพระราชปณิธานดังที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้
พล.อ.เปรม ยังเขียนถึงความประทับใจต้องบันทึกไว้ว่า เมื่อผู้เขียนดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่สามารถอ้างอิงวันเดือนปีได้ แต่เป็นปลายปี 2517 พลตรีเทียนชัย จั่นมุกดา หัวหน้านายทหารรักษาความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปตรวจภูมิประเทศเพื่อวางแผนในการถวายอารักขา เรานัดพบกันบนภูผาเหล็ก เวลา 10.30 น. พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ผู้เขียนชวนคุณเทียนชัยให้รับประทานข้าวห่อที่กองทัพเตรียมไป
คุณเทียนชัยบอกว่า เตรียมข้าวห่อมาจากกรุงเทพฯ ด้วยแล้ว คุณเทียนชัย เล่าต่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เตรียมข้าวห่อไปด้วย จะได้ไม่เป็นภาระของกองทัพ กองทัพเขามีภาระมากอยู่แล้ว
พล.อ.เปรม บรรยายว่า นี่คือน้ำพระราชหฤทัยสุดประเสริฐของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อีกเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อ 13-16 ต.ค. 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรภาคอีสาน ประทับแรมที่เขื่อนน้ำอูนของกรมชลประทาน ขณะนั้นยังไม่มีพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ก่อนเสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายงานและรับเสด็จ
ผู้เขียนได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ประทับต่อไปอีก 2-3 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า “ฉันมีความจำเป็นต้องกลับ แต่ถ้าแม่ทัพต้องการให้ฉันมาอีกเมื่อใด ให้บอกมา ฉันจะมา”
ผู้เขียนไม่มีเอกสารอ้างอิง แต่ขอยืนยันว่า เป็นพระราชดำรัสที่ผู้เขียนได้ยินและจะไม่มีวันลืมและไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายถึงสิ่งที่มีอยู่ในพระราชหฤทัย
จากข้อเขียนที่บรรยายถึงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายชาติทหารกล้าที่ชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีด้วยความมุมานะและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เทิดทูนเหนือเกล้าตราบสิ้นชีวาอาตน์ .
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/