บอร์ด สปสช.เคาะ ปชช.ใช้บัตรทองร่วมจ่าย 30 บาท 1 ก.ย.ทั่ว ปท.
บอร์ด สปสช.ยืนยันมติเก็บ 30บ. เริ่มทั่วประเทศ 1 ก.ย.55 ตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชนขึ้นไป เปิดทางให้แต่ละ รพ.ตัดสินใจงดเว้นได้ แจงคุณภาพบริการเพิ่ม-ไม่หยุดช่วงบ่าย-เปลี่ยน รพ.บัตรทองได้ปีละ 4 ครั้ง
วันที่ 10 ก.ค.55 นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยในการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ด สปสช.) ว่าที่ประชุมเห็นชอบตามที่รัฐบาลมีนโยบายการร่วมจ่าย 30 บาทในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และตามมติบอร์ด สปสช.วันที่ 13 มิ.ย.55 ให้มีการร่วมจ่ายกรณีที่ประชาชนไปใช้บริการและได้รับยาเท่านั้น หากไม่มีการสั่งยาก็ไม่ต้องร่วมจ่าย และจะยกเว้น คนยากจน (จากฐานข้อมูลกระทรวงมหาดไทย) และผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล ทั้งนี้หน่วยบริการจะมีเงินรายได้จากการร่วมจ่ายคาดว่าปีละ 2,000 ล้านบาท โดยในอนาคต จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพปฐมภูมิ หรือการสนับสนุนค่าตอบแทนบุคลากรเป็นต้น
รมว.สธ.กล่าวอีกว่าการเก็บ 30บาทต่อครั้งสำหรับผู้ที่มาใช้บริการนั้นจะเริ่ม 1 ส.ค.55 อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าแนวทางดังกล่าวให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้หากจะดำเนินการโดยขยายผลตามระยะ ควรกำหนดกรอบเวลารวมทั้งการพัฒนาคุณภาพบริการด้านต่างๆ และประกาศให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรก และการยกเว้นการร่วมจ่ายของประชาชนขอให้อยู่ในดุลยพินิจของหน่วยบริการ ขณะเดียวกันขอให้เตรียมข้อมูลและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเพิ่มขึ้นให้ชัดเจน เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจต่อสาธารณะต่อไป
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอในที่ประชุมว่าคณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์ ได้ประชุมหารือต่อข้อสังเกตดังกล่าววันที่ 3 ก.ค.55 และมีข้อสรุปเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา คือให้ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศในโรงพยาบาลตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.55 ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องร่วมจ่าย 30 บาท คือผู้รับบริการสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยต้องเป็นผู้ที่ได้รับบริการรักษาพยาบาลจนสิ้นสุดและได้รับยา มีข้อยกเว้นในกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องจ่ายค่าบริการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และกลุ่มที่จะมีการประกาศเพิ่มเติมต่อไป ส่วนผู้รับบริการเฉพาะรายอื่นๆให้อยู่ในดุลยพินิจของหน่วยบริการเฉพาะราย
ส่วนสิทธิประโยชน์และคุณภาพบริการที่ประชาชนจะได้รับเพิ่ม คือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินจะได้รับบริการทุกที่โดยไม่ถามสิทธิและไม่ต้องสำรองจ่ายเงินก่อน กรณีเจ็บป่วยรุนแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูงจะได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐานในทุกระบบหลักประกัน ในหน่วยบริการทุกระดับตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชนขึ้นไป และจะเพิ่มบริการช่วงบ่ายและไม่หยุดช่วงเที่ยงเพื่อลดความแออัดของการบริการในโรงพยาบาลทุกระดับ ผู้ป่วยสูงอายุจะได้รับบริการโดยไม่ต้องรอคิว ประชาชนจะได้รับการคัดกรองค้นหาความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ เมื่อไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิจะได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และสามารถได้รับการปรึกษาผ่านระบบให้บริการด้านการรักษาพยาบาลทางไกล โดยไม่เสียเวลาเดินทางไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้รับความสะดวกในการเปลี่ยนหน่วยบริการปฐมภูมิมากขึ้นโดยใช้เพียงแค่บัตรประชาชนหรือเอกสารที่ทางราชการจัดให้ที่มีเลข 13 หลัก และสามารถเปลี่ยนหน่วยได้เพิ่มจากปีละไม่เกิน 2 ครั้งเป็นปีละไม่เกิน 4 ครั้ง
ด้าน นายวิทยา กล่าวว่าได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมเรื่องหน่วยบริการในการเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นในช่วงเที่ยงและบ่าย พัฒนาระบบให้บริการด้านการรักษาพยาบาลทางไกล ( telemedicine) ให้ครบถ้วนทุกพื้นที่ในปีงบประมาณ 2556 และเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนก่อนดำเนินการ รวมทั้งขอปรับระบบค่าตอบแทนซึ่งต้องมีการจ่ายเพิ่มเติมกรณีจัดบริการในตอนเที่ยงวัน คาดว่าจะใช้ค่าตอบแทนที่เพิ่ม 900 ล้านบาทต่อปี สำหรับ สปสช.นั้นให้เตรียมพร้อมการให้ความสะดวกกับประชาชนในการเปลี่ยนหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือหน่วยบริการประจำ และเตรียมการติดตามผลทุก 3 เดือนเพื่อรายงานคณะกรรมการต่อไป