ชาวบ้านร้องกรมบังคับคดียุติไล่รื้อพื้นที่พิพาทโฉนดชุมชน- เตรียมยื่นศาลปค.ไต่สวน
ชาวบ้านโฉนดชุมชนสุราษฎร์ฯ ร้องกรมบังคับคดียุติไล่รื้อพื้นที่พิพาทส.ป.ก. เตรียมยื่นศาลปกครองรื้อคดีพิจารณาใหม่ ใช้สิทธิชุมชนประกอบ
วันที่ 10 ก.ค. 55 นายบุญฤทธิ์ ภิรมย์ ตัวแทนชาวบ้านพื้นที่นำร่องเตรียมออกโฉนดชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกบังคับคดีให้ออกจากพื้นที่พิพาทการถือครองที่ดินส.ป.ก.ระหว่างบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด และบริษัท สวนสุราษฎร์ จำกัด กับนายมนัส กลับชัยพร้อมชาวบ้าน 9 คน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี ให้เพิกถอนคำสั่งไล่รื้อ ณ กรมบังคับคดี บางขุนนนท์
โดยนายบุญฤทธิ์ กล่าวต่อศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศรา ภายหลังเข้าพบอธิบดีกรมบังคับคดีว่า ตนเป็นตัวแทนภาคประชาชนที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นคณะทำงานระดับอำเภอตรวจสอบที่ดินแปลงที่เป็นปัญหา พบว่าบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด ครอบครองที่ดินเพื่อทำประโยชน์ประมาณ 3,387 ไร่ แบ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร 1,210 ไร่ อยู่ในเขตส.ป.ก. 276 ไร่ และอยู่ในเขตเอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน 1,901 ไร่ ชาวบ้านจึงเห็นว่าการที่ภาครัฐปล่อยให้กลุ่มทุนครอบครองที่ดินส.ป.ก. โดยไม่จัดสรรให้แก่ประชาชนที่ไร้ที่ดินทำกินไม่เป็นธรรม จึงเรียกร้องให้รัฐเร่งดำเนินการแต่กลับไร้การจัดการใด ๆ ชาวบ้านจึงสร้างเพิงพักในพื้นที่พิพาทเพื่อกดดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ กระทั่งบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด ฟ้องชาวบ้านต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ฯ เพื่อไล่รื้อออกจากพื้นที่และเรียกค่าเสียหาย
จนวันที่ 29 ธ.ค. 54 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ฯ มีคำพิพากษาให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ซึ่งตนได้อุทธรณ์และชะลอการบังคับคดี แต่ภายหลังชาวบ้านได้ทราบว่าบริษัทคู่กรณีได้ส่งมอบที่ดินในเขตส.ป.ก.บางสวรรค์ทั้งหมดคืนให้แก่สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดแล้ว ดังนั้นชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาจึงสามารถเข้าทำประโยชน์ได้
ตัวแทนชาวบ้านสันติพัฒนา กล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 15 พ.ค. 55 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีสุราษฎร์ธานีนำประกาศไปปิดในพื้นที่พิพาทให้ชาวบ้านรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายในวันที่ 29 มิ.ย. 55 ชาวบ้านจึงร้องขอไปยังสำนักงานส.ป.ก.ให้แก้ปัญหา ซึ่งเห็นว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของส.ป.ก.และกำลังอยู่ระหว่างจัดสรรให้เกษตรกรจริงจึงสั่งระงับการบังคับคดี ดังนั้นชาวบ้านจึงสามารถกลับเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามแม้ชาวบ้านจะสามารถเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินส.ป.ก.ได้ แต่ยังหวั่นใจว่าอนาคตหน่วยงานภาครัฐจะเข้าไล่รื้อถอนอีก เพราะศาลยังไม่มีคำสั่งบังคับคดีอย่างเป็นทางการ จึงต้องเข้าร้องเรียนต่ออธิบดีกรมบังคับคดีเพื่อขอความเป็นธรรมและตรวจสอบการทำงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีจ.สุราษฎร์ฯ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเที่ยงธรรม
ทั้งนี้นายบุญฤทธิ์ กล่าวอีกว่า นายวิศิษฎ์เข้าใจปัญหาและยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตส.ป.ก.จริง เนื่องจากบริษัทคู่กรณีได้ส่งมอบให้หน่วยงานภาครัฐแล้วจึงไม่มีสิทธิครอบครองอีกต่อไป จึงเสนอแนวทางแก้ไข 2 ทาง ได้แก่ 1. ให้ศาลปกครองมีคำพิพากษา และ2.เรียกทุกภาคส่วนไกล่เกลี่ยร่วมกัน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายเข้าชี้แจงและหาข้อสรุปในวันที่ 23 ก.ค. 55 ที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี
“อนาคตหากพื้นที่ส.ป.ก.ไม่ให้ครอบครอง หน่วยงานที่ไล่รื้อตนได้ต้องเป็นสำนักงานส.ป.ก.เท่านั้น มิใช่กลุ่มทุนที่ใช้อำนาจคำพิพากษาของศาลรังแก่ชาวบ้าน จึงฝากความหวังไว้กับกระบวนการศาลไทยที่ควรมองข้อเท็จจริงประกอบการวินิจฉัยด้วย มิใช่มองเพียงเอกสารหลักฐานเท่านั้น” ชาวบ้านสันติพัฒนากล่าว.
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.isranews.org/กระแสชุมชน/ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม/8-resource-the-environment/7608-2012-07-10-10-23-04.html