ดูเหตุผลคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุดสั่ง รฟท.จ่ายค่าโง่ 1.2 หมื่นล.ปิดฉากคดีโฮปเวลล์
“…คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นต่างๆดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยว่า คู่สัญญาฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ อย่างไร และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีความรับผิดต่อกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด จึงไม่ปรากฏเหตุให้อำนาจศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดในส่วนนี้ได้เช่นกัน…”
ในที่สุดก็ถึงคราวรูดม่านปิดฉาก! มหากาพย์โครงการก่อสร้างทางยกระดับรถไฟ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า ‘โครงการโฮปเวลล์’
เป็นระยะเวลากว่า 15 ปี นับตั้งแต่เกิดปัญหาข้อพิพาทเมื่อปลายปี 2547 ภายหลังกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บอกเลิกสัญญาสัมปทานบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ ต่อมาเมื่อปี 2551 อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ รฟท. ต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าบอกเลิกสัญญาให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ หลังจากนั้นเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างมีการยื่นฟ้องกันเองต่อศาลปกครองกลางเป็นเวลาหลายปี กระทั่งปี 2557 ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากเห็นว่า ไม่เข้าเงื่อนไขเวลา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2562 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษากลับศาลปกครองกลาง ยกคำร้อง มีผลให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2551 หรือ 11 ปีก่อน ให้จ่ายค่าชดเชยคืนแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท จากการบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำระไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด (อ่านประกอบ : ศาล ปค.สูงสุดพิพากษากลับสั่ง รฟท.จ่ายค่าโง่ 1.2 หมื่นล.คดีโฮปเวลล์, ย้อนมหากาพย์ 'คดีโฮปเวลล์' หลังศาลฯ สั่งรัฐจ่ายค่าโง่ 1.2 หมื่นล.)
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึง 119 หน้า แต่ตุลาการศาลปกครองใช้เวลาอ่านคำพิพากษาโดยสรุปประมาณครึ่งชั่วโมง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงให้ทราบ ดังนี้
ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัย 3 ประเด็น
1.การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่
ประเด็นนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่บริษัทโฮปเวลล์จะยื่นคำเสนอข้อพิพาท ได้ทำหนังสือขอให้กระทรวงคมนาคม และรฟท.ระงับข้อพิพาทโดยการเจรจาประนีประนอมยอมความให้เสร็จภายใน 60 วัน ซึ่ง กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่เพิกเฉยไม่พยายามเจรจา บริษัทโฮปเวลล์จึงมีสิทธิยื่นคำเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ และเมื่อพิจารณาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นดังกล่าวแล้ว
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานข้อ 31.1 ซึ่งระบุว่าเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญาคู่สัญญาจะต้องมีการประนีประนอมระงับข้อพิพาทนั้นก่อน หากภายในระยะเวลา 60 วัน ไม่สามารถประนีประนอมระงับข้อพิพาทได้ ให้นำข้อพิพาทเสนออนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ ดังนั้นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในส่วนนี้จึงไม่ปรากฏเหตุที่จะทำให้เป็นคำชี้ขาดที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด
2 .สิทธิเสนอให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. พ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างกระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัทโฮปเวลล์ เป็นสัญญาทางแพ่งชนิดหนึ่งและไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นสิทธิเรียกร้องตามสัญญาสัมปทานจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.193/30 ทั้งนี้ ข้อพิพาทตามสัญญาสัมปทานเกิดขึ้นนับแต่วันที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.มีหนังสือบอกสัญญากับบริษัทโฮปเวลล์ ลงวันที่ 27 ม.ค.2541 ซึ่งบริษัทโฮปเวลล์เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2547 ยังไม่ครบ 10ปี จึงยังคงใช้สิทธิเรียกร้องได้
ส่วนที่คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาคำชี้ขาดเรื่องกำหนดระยะเวลาใช้สิทธิเสนอให้ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าแม้คำชี้ขาดได้อ้างเหตุทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับลักษณะของสัญญาและอายุความแตกต่างไปจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อเป็นคำชี้ขาดที่ให้ผลว่า ข้อพิพาทที่เสนอเป็นข้อพิพาทที่รับไว้พิจารณาได้ อันเป็นผลตรงกับที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นคำชี้ขาดในประเด็นนี้จึงไม่ปรากฏเหตุบกพร่องถึงขนาดทำให้เป็นคำชี้ขาดที่ฝ่าฝืนต่อตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกเช่นกัน
3. คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่มีการกำหนดประเด็นว่า สัญญาสัมปทานเลิกกันไปโดยปริยายหรือโดยข้อกฎหมายหรือไม่ และกระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัทโฮปเวลล์จะกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.391 หรือไม่เพียงใดนั้น
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คดีดังกล่าวสัญญาพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน การแจ้งยกเลิกสัญญาโดยฝ่ายปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียวจึงยังไม่มีผลทางกฎหมายให้สัญญาเป็นอันเลิกกันในทันที อย่างไรก็ตาม มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ได้มีหนังสือแจ้งมติ ครม.ที่บอกเลิกสัญญาต่อบริษัทโฮปเวลล์ และได้มีหนังสือแจ้งยืนยันเจตนาที่ไม่ประสงค์จะมีข้อผูกพันตามสัญญาอีกต่อไป ถือเป็นกรณีที่ได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาอย่างชัดแจ้งแล้ว และต่อมาบริษัทโฮปเวลล์ได้ยินยอมย้ายคนและเครื่องมือออกจากพื้นที่สัมปทานและไม่ได้เข้าไปดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าวอีก อันเป็นการแสดงออกถึงการตกลงให้สัญญาเป็นอันเลิกกัน เมื่อสัญญาเป็นอันเลิกกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม เทียบเคียงหลักการให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม กรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.391 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่เห็นว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันและให้คู่สัญญาคืนสู่ฐานะเดิมดังที่เป็นอยู่เดิมจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด
ทั้งนี้สำหรับคำชี้ขาดในส่วนที่กำหนดให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ต้องดำเนินการให้บริษัทโฮปเวลล์กลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดในประเด็นข้อโต้แย้งต่างๆของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการพิจารณาข้อเท็จจริงและการปรับใช้กฎหมายข้อสัญญาของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นต่างๆดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยว่า คู่สัญญาฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ อย่างไร และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีความรับผิดต่อกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด จึงไม่ปรากฏเหตุให้อำนาจศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดในส่วนนี้ได้เช่นกัน
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็นยกคำร้องและให้บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ โดยให้ กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 180วัน นับแต่คดีถึงที่สุด และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 16,535,504 บาทให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/