รู้เรื่องกฎหมายเนรคุณ ในวันผู้สูงอายุถูกละเมิดสิทธิ์
ปัญหาที่พบมากขึ้นกับผู้สูงอายุในปัจจุบัน คือ การละเมิดสิทธิทางด้านทรัพย์สิน หรือเอาเปรียบหาประโยชน์ทางด้านทรัพย์สิน ทั้งละเมิดทางการเงิน การครอบครัวทรัพย์สินของผู้สูงอายุโดยผู้สูงอายุไม่ยินยอม ขโมยเงินหรือสิ่งของมีค่า การบังคับให้เปลี่ยนพินัยกรรม
ปัจจุบันประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยมีจำนวนและสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2562 คาดการณ์ว่า ไทยจะมีประชากรสูงอายุราว 12.2 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของประชากรทั้งหมด
ประชากรสูงอายุ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเสื่อม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ยิ่งช่วงท้ายของชีวิต เราจะพบว่า ผู้สูงอายุต้องพึ่งพาผู้อื่นในเกือบทุกด้าน
และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เศรษฐกิจ และสังคม กอรปกับค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรมของคนก็ลดลงตามไปด้วยนั้น จึงเชื่อกันว่า ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งและถูกละเมิดสิทธิเพิ่มมากขึ้น
กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ชี้ชัดถึงปัญหาที่พบมากขึ้นกับผู้สูงอายุในปัจจุบัน คือ การละเมิดสิทธิ หรือเอาเปรียบหาประโยชน์ทางด้านทรัพย์สิน ทั้งการละเมิดทางการเงิน การครอบครัวทรัพย์สินของผู้สูงอายุโดยผู้สูงอายุไม่ยินยอม การขโมยเงินหรือสิ่งของมีค่า การบังคับให้เปลี่ยนพินัยกรรม หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน รวมถึงการกีดกันไม่ให้ผู้สูงอายุมีสิทธิในการดูแล หรือจัดการทรัพย์สินของตนเอง
สอดคล้องกับมติสมัชชาผู้สูงอายุระดับชาติ ปี 2562 ที่หันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุด้านทรัพย์สิน พร้อมกับขอให้กรมบังคับคดี ส่งเสริมการความรู้เรื่องกฎหมายเนรคุณ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 และมาตรา 535 (คลิก) ) กรณีที่ผู้สูงอายุมีการโอนทรัพย์สินให้กับลูกหลานหรือบุคคลอื่น แต่ลูกหลานหรือบุคคลนั้นไม่ดูแล ส่งเสีย เลี้ยงดูผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุสามารถเรียกคืนทรัพย์ได้ (อ่านประกอบ::โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง : “อัยการนั่งฟังยังน้ำตาซึม ไม่คิด ผู้สูงอายุจะเจอแบบนี้ ” )
ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 ระบุ การเลี้ยงดูบุพการีคือหน้าที่ของบุตร มรดกเป็นแค่สิทธิอาจจะได้หรือไม่ได้ ได้แล้วเรียกคืนได้หากประพฤติ
1. ประทุษร้ายผู้ให้ตามประมวลกฎหมายอาญา
2. ทำให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
3. ไม่เลี้ยงดู ไม่ให้สิ่งจำเป็นต่อชีวิตแก่ผู้ให้ในขณะที่ทำได้
พฤติกรรมเหล่านี้ตามภาษากฎหมายเรียกว่า"ประพฤติเนรคุณ" ผู้ให้สามารถเรียกคืนได้ตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ก็ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุด มีการสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดผู้สูงอายุด้านทรัพย์สิน และให้ความสำคัญกับการให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย คดีความ การฟ้องร้อง กรณีการถูกละเมิดสิทธิด้านทรัพย์สินผู้สูงอายุ ตลอดจนมีนโยบายให้ความช่วยเหลือ ประชาชนในด้านคดีความหรือการดำเนินการทางกฎหมายแก่ผู้สูงอายุเมื่อเกิดเหตุการณ์การละเมิด ด้านทรัพย์สิน
และเพื่อให้เข้ากับวันผู้สูงอายุไทย 13 เมษายน การเพิกถอนการให้ เพราะเหตุเนรคุณ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกา มาให้อ่าน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ด้วยอยากให้คนรุ่นใหม่ มีค่านิยมเอื้ออาทร เห็นคุณค่า และแสดงความกตัญญูต่อบิดา มารดา และผู้มีพระคุณ
@ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7301/2559
จำเลย (ลูก) ด่าโจทก์ (พ่อ) ว่า เป็นคนจัญไร ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายไว้ว่า "เลวทราม เป็นเสนียด ไม่เป็นมงคล" อันเป็นถ้อยคำรุนแรงไร้ความเคารพนับถือเป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อบิดาผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้ให้อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2)
คดีนี้ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญาให้ที่ดินฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2557 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดิน ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ 36 ไร่ 2 งาน 16 2/10 ตารางวา คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ต่อมาโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินและให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนด ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ กำหนดเป็นค่าทนายความรวม 20,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557 โจทก์ยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดิน ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ 36 ไร่เศษ ให้แก่จำเลยโดยเสน่หา โดยมีบ้านของโจทก์ตั้งอยู่ มีโจทก์กับภริยาโจทก์ จำเลยกับสามีจำเลย พักอาศัยอยู่ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวจำนวนเนื้อที่ 12 ไร่ แบ่งให้บุคคลอื่นเช่าทำนาโดยโจทก์เป็นผู้เก็บผลประโยชน์ โจทก์ยังมีที่ดินอีก 1 แปลง เป็นที่ดิน ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ 7 ไร่ 19 ตารางวา คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ได้หรือไม่
ข้อนี้ได้ความจากโจทก์นำสืบว่า หลังจากโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยเสน่หาแล้ว 2 เดือน จำเลยด่าโจทก์ว่า แก่แล้วเลอะเทอะ กินข้าวมูมมาม แก่จัญไร โจทก์ทนพฤติกรรมของจำเลยไม่ไหวจึงออกจากบ้านไปพักอาศัยกับบุตร
ส่วนจำเลยนำสืบว่า โจทก์ชักชวนให้จำเลยมาอยู่อาศัยด้วย จำเลยเลี้ยงดูโจทก์และไม่เคยด่าว่าโจทก์ ต่อมาโจทก์ออกไปและล็อกประตูบ้านทำให้จำเลยและสามีเข้าอยู่อาศัยไม่ได้ จึงไปปลูกกระต๊อบอาศัยในที่ดินพิพาท เห็นว่า นอกจากโจทก์แล้วยังมีภริยาโจทก์และบุตร
โจทก์มาเบิกความยืนยันว่า จำเลยด่าโจทก์ว่า แก่แล้วเลอะเทอะ กินข้าวมูมมาม ซึ่งนอกจากจะเป็นข้อความที่ไม่สุภาพและไม่สมควรที่บุตรจะว่ากล่าวต่อบิดาของตนแล้ว จำเลยยังใช้ถ้อยคำว่า โจทก์เป็นคนจัญไร อีกด้วย
ถ้อยคำดังกล่าว ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายไว้ว่า "เลวทราม เป็นเสนียด ไม่เป็นมงคล" อันเป็นถ้อยคำที่รุนแรงไร้ความเคารพนับถือ เป็นการลบหลู่เหยียดหยาม อกตัญญูต่อบิดา ผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ที่จำเลยอ้างว่า เคยบ่นโจทก์ที่เอาชามข้าวไปให้แมวกินร่วมกันเท่านั้น ไม่เคยด่าว่าโจทก์เป็นคนจัญไรนั้น ถ้าเป็นเพียงคำบ่นตามที่จำเลยอ้างน่าจะไม่เป็นเหตุถึงขนาดทำให้โจทก์ต้องมาขอถอนคืนการให้
ดังจะเห็นได้ว่า หลังจากนั้นโจทก์ล็อกประตูบ้านแล้วไปขออาศัยอยู่กับบุตรที่กรุงเทพมหานคร ยิ่งกว่านั้นก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ประมาณ 1 เดือน โจทก์ไปร้องขอปรึกษาข้อกฎหมายที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิประชาชนนครสวรรค์ (ส.ค.ช.) สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ ว่า หลังจากโอนที่ดินแล้วจำเลยมีพฤติการณ์พูดจาเสียดสีจึงต้องการขอคืนการให้ที่ดิน แสดงให้เห็นว่า โจทก์ทนไม่ได้ต่อพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแล้ว จึงมาปรึกษาพนักงานอัยการเพื่อขอคืนการให้
ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า เหตุที่โจทก์ไปร้องมีเรื่องเดียว คือ เรื่องที่จำเลยบ่นว่าโจทก์นำชามข้าวคนมาให้แมวกินร่วมกันนั้น เมื่อพิจารณาตามเอกสารคำขอปรึกษาข้อกฎหมายท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ ปรากฏว่า ในช่องข้อเท็จจริงที่ปรึกษา มีลักษณะการสรุปข้อเท็จจริง มิได้มีรายละเอียดของถ้อยคำที่อ้างว่าพูดจาเสียดสีนั้นมีอะไรบ้าง เช่นนี้จะฟังเป็นยุติว่า มีเรื่องเดียวตามที่จำเลยอ้างหาได้ไม่
ข้อเท็จจริงดังวินิจฉัยมาฟังได้ว่า จำเลยด่าโจทก์ว่าเป็นคนจัญไร อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้ให้อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
@ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2543
หลังจากโจทก์ยกที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรแล้ว จำเลยยังคงเลี้ยงดูโจทก์โดยโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว ต่อมาจำเลยเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยแสดงอาการรังเกียจเมื่อโจทก์ไปที่บ้านจำเลย และต่อมาเริ่มด่าว่าโจทก์ว่า "อีหัวหงอก อีสันดานหมา ไม่รู้จักภาษาคนมึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป" กับเคยด่าโจทก์ว่า"อีหัวหงอก อีหัวโคน อีสันดานหมา อีตายยาก กูเกิดผิดพ่อผิดแม่ กูเกิดหลงรู" หลังจากนั้นจำเลยขายบ้านที่โจทก์อยู่อาศัยโดยมิได้บอกกล่าว ผู้ซื้อจึงได้รื้อถอนบ้านดังกล่าวไป จำเลยบอกโจทก์ว่า "ก็ไม่เลี้ยงมึงอีก มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป" โจทก์จึงไปอาศัยอยู่กับน้องสาวจำเลย
การที่จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรงดังกล่าวแสดงว่า จำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเป็นการลบหลู่ และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ หาใช่เป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพหรือไม่สมควรกระทำต่อมารดาไม่ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้ เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2)
แม้คำเบิกความของพยานโจทก์จะมิได้ระบุว่า จำเลยด่าโจทก์เมื่อใด ก็มิใช่สาระสำคัญที่ถึงขนาดทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้เสียเลย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำหนังสือสัญญาให้ที่ดิน พร้อมบ้าน แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร โดยตกลงกันว่าจำเลยจะอุปการะเลี้ยงดูและให้โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านตลอดไป ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2540 จำเลยประพฤติเนรคุณโดยด่าโจทก์อย่างหยาบคาย อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง แล้วขายบ้านที่โจทก์อยู่อาศัยขับไล่โจทก์ และไม่ให้อาหารและสิ่งของจำเป็นแก่โจทก์ทั้งที่รู้ว่าโจทก์ยากจนไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองได้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงคืนแก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดิน คืนให้แก่โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิมหากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้น เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า หลังจากโจทก์ยกที่ดินพร้อมบ้าน ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรแล้ว จำเลยยังคงเลี้ยงดูโจทก์โดยโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว จนกระทั่งถึงปี 2540 จำเลยเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยแสดงอาการรังเกียจเมื่อโจทก์ไปที่บ้านจำเลย และต่อมาเริ่มด่าว่าโจทก์ และเมื่อเดือนมีนาคม 2540 จำเลยขายบ้าน ที่โจทก์อยู่อาศัยโดยมิได้บอกกล่าว
จากนั้นผู้ซื้อจึงได้รื้อถอนบ้านดังกล่าวไป จำเลยบอกโจทก์ว่า "ก็ไม่เลี้ยงมึงอีก มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป"โจทก์จึงไปอาศัยอยู่กับน้องสาวจำเลย
ข้อนี้จำเลยเบิกความรับว่า จำเลยได้ขายบ้าน ไปจริง ทั้งมีกรณีโต้เถียงกับโจทก์ เนื่องจากโจทก์ดื่มสุรา และในที่สุดโจทก์ได้ไปอาศัยอยู่กับบุตรโจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดู คำเบิกความของจำเลยจึงเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ที่ไม่อาจรับฟังเป็นอย่างอื่นว่า ได้มีความขัดแย้งระหว่างโจทก์และจำเลยในเรื่องที่จำเลยขายบ้าน และมีการโต้เถียงกัน ในกรณีที่โจทก์ดื่มสุราจนกระทั่งโจทก์ไม่อาจอยู่กับจำเลยได้ จึงน่าเชื่อว่า ได้มีการใช้ถ้อยคำรุนแรงดังที่โจทก์เบิกความ พยานโจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับจำเลย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย น่าเชื่อว่าได้เบิกความตามความเป็นจริง มิได้ปรักปรำใส่ร้ายจำเลย
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า พยานโจทก์ทั้งสองมีส่วนได้รับผลประโยชน์หากมีการถอนคืนการให้นั้น ไม่มีเหตุผลอันใดที่พยานโจทก์ทั้งสองจะกลั่นแกล้งจำเลยเพื่อเอาที่ดิน 3 ไร่ จากจำเลย
สำหรับข้อที่ผู้ใหญ่บ้าน ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ไม่เคยได้ยินจำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายนั้น ก็มิใช่เป็นข้อยืนยันว่า จำเลยมิได้ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพราะต่อหน้าบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติ จำเลยอาจไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อโจทก์ก็เป็นได้
พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรง แสดงว่าจำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเป็นการลบหลู่และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณหาใช่เป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพหรือไม่สมควรกระทำต่อมารดาไม่ ถ้อยคำดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แม้คำเบิกความของพยานโจทก์จะมิได้ระบุว่า จำเลยด่าโจทก์เมื่อใด ก็มิใช่สาระสำคัญที่ถึงขนาดทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้เสียเลย
พิพากษายืน
@ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2538
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 531 (2)
โจทก์เป็นมารดาจำเลย เมื่อโจทก์ขอเงินจำเลยด่าโจทก์ว่า เป็นตัวมารเป็นคนกลับกลอกเป็นผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้เชื่อถือไม่ได้เป็นเปรตขอส่วนบุญถือได้ว่า เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531 (2) จึงมีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนการให้ที่ดิน แก่บุตรของโจทก์ คือ จำเลย และบุตรคนอื่นอีก 3 คน ต่อมาจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนคืนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่โจทก์ยกให้คืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิเคยกล่าวให้ร้ายโจทก์ ทั้งมิเคยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นอกจากนี้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทั้งเหตุที่อ้างว่าจำเลยด่าว่าโจทก์นั้นก็ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เฉพาะส่วนของจำเลยแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยไม่ได้ประพฤติเนรคุณ ข้อนี้โจทก์เบิกความว่า เมื่อโจทก์ขอเงินจำเลยด่าว่าเป็นตัวมาร เป็นคนกลับกลอก เป็นผู้ใหญ่ใช้ไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้ เป็นเปรตขอส่วนบุญ นอกจากนั้น โจทก์มีพยานสนับสนุน จำเลยเบิกความเป็นพยานรับว่า มีสาเหตุกับโจทก์ และโจทก์เคยไปร้องเรียนต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี จึงเจือสมกับพยานโจทก์ เห็นว่าโจทก์เป็นมารดาจำเลย หากจำเลยไม่ได้ด่าว่าโจทก์จริงแล้วโจทก์ก็คงไม่เสกสรรค์ ปั้นเรื่องขึ้นกล่าวหาจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบการที่จำเลยด่าว่าโจทก์ดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) จึงมีเหตุที่โจทก์จะถอนคืนการให้ได้
พิพากษายืน
@ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2537
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 531 (2), 531 (3)
เมื่อ 16 ปีก่อน โจทก์ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร ต่อมาโจทก์มีฐานะยากจนไม่มีที่อยู่อาศัยจำเลยมีฐานดีพอจะเลี้ยงดูโจทก์ได้ เมื่อโจทก์ไปขอที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยพูดว่ากูไม่ให้มึงหรอกให้มึงไปขอทานลูกคนอื่น ต่อไปภายข้างหน้าเลิกนับถือเป็นพ่อลูกกันและไล่ให้โจทก์ออกจากบ้านการที่จำเลยกล่าวว่าให้มึงไปขอทานลูกคนอื่นต่อไปภายข้างหน้าเลิกนับถือเป็นพ่อลูกกันไม่เพียงแต่เป็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพเท่านั้น แต่เป็นถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งบุตรไม่พึงกล่าวต่อบิดา ทั้งจำเลยยังไล่โจทก์ออกจากบ้านอีกด้วยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง นอกจากนี้การที่โจทก์ไปขอปลูกบ้านอยู่ในที่ดินจำเลย จำเลยกลับว่ากูไม่ให้มึงหรอกและเลิกนับถือโจทก์เป็นบิดาจึงเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้อีกด้วย ดังนี้ โจทก์ย่อมถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)(3) ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประพฤติเนรคุณ ขอถอนคืนการให้ที่ดินแก่จำเลยให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเคารพโจทก์ในฐานะบิดา ให้ความอุปการะเลี้ยงดู จะปลูกบ้านในที่ดินพิพาทให้โจทก์อยู่ตลอดชีวิต แต่โจทก์จะให้โอนที่ดินเพื่อจะโอนให้แก่ผู้อื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการให้โดยให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนด ตำบลคอโค อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นบุตรคนที่ 4 ของโจทก์เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว น้องชายโจทก์ได้รับที่ดินจากนายนวล ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นพี่เขยโจทก์ ขณะนั้นที่ดินยังเป็นป่าอยู่ นายปิงถากถาง เพื่อตนเองครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งยกให้โจทก์ต่อมาเมื่อ 16 ปีมานี้ โจทก์ได้ยกที่ดินส่วนของตนดังกล่าวให้แก่จำเลยจำนวน 3 ไร่เศษ และให้แก่บุตรอีกคนหนึ่งจำนวน 4 ไร่ แต่เนื่องจากที่พิพาทได้แจ้งการครอบครองรวมอยู่ในส.ค.1 ของนายปิง จึงต้องแจ้งในใบไต่สวนว่านายปิงเป็นผู้ยกให้ขณะฟ้องคดีโจทก์มีอายุ 81 ปีแล้ว ฐานะยากจนไม่มีที่อยู่อาศัย จำเลยมีฐานะดีพอจะเลี้ยงดูโจทก์ได้ เมื่อโจทก์ไปขอที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยพูดว่า กูไม่ให้มึงหรอก ให้มึงไปขอทานลูกคนอื่นต่อไปภายข้างหน้าเลิกนับถือเป็นพ่อลูกกันและไล่ให้โจทก์ออกจากบ้านจำเลยฎีกาว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงถ้อยคำที่ไม่สุภาพเท่านั้นไม่ถึงขนาดหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ได้นั้น
เห็นว่า จำเลยเป็นบุตรโจทก์ จะต้องมีความกตัญญูและให้ความเคารพต่อบิดาผู้ให้กำเนิดตามวิสัยของบุตรทั่วไป การที่จำเลยกล่าวว่า ให้มึงไปขอทานลูกคนอื่น ต่อไปภายข้าหน้าเลิกนับถือเป็นพ่อลูกกันนั้น ไม่เพียงแต่เป็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพเท่านั้น แต่เป็นถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งบุตรไม่พึงกล่าวต่อบิดา ทั้งจำเลยยังไล่โจทก์ออกจากบ้านอีกด้วย จึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง นอกจากนี้การที่โจทก์ไปขอปลูกบ้านอยู่ในที่ดินจำเลย จำเลยกลับว่ากูไม่ให้มึงหรอกและเลิกนับถือโจทก์เป็นบิดา จึงเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้อีกด้วย โจทก์จึงถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531 ได้
พิพากษายืน