คุยกับ ‘สังศิต พิริยะรังสรรค์’ คาดการณ์จัดตั้ง รบ.ใหม่ ‘พปชร.-พท.’ ใครคือผู้นำ?
คุยกับ ‘สังศิต พิริยะรังสรรค์’ นักวิชาการ ม.รังสิต คาดการณ์อนาคตการเมืองไทย จับขั้วตั้งรัฐบาล -นายกฯ คนที่ 30 ‘พปชร.-พท.’ ใครครองเกม พร้อมวิเคราะห์จุดพ่ายของ ปชป.
ยังไม่รู้ว่า แกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะออกหัวหรือก้อย หลังจาก 2 ขั้ว “พลังประชารัฐ-เพื่อไทย” ต่างออกมาประกาศชิงความเป็นผู้นำ อ้างคะแนนเสียงชอบธรรมสูงสุดกันคนละชุด
"พรรคเพื่อไทย" ยกคะแนนเสียง ส.ส. แบบแบ่งเขตที่ได้สูงถึง 137 ที่นั่ง ขณะที่ "พรรคพลังประชารัฐ" ได้ 97 ที่นั่ง ซึ่งตามธรรมเนียม พรรคใดได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุด จะต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
หากอีกด้านหนึ่ง พรรคพลังประชารัฐ ยกคะแนนป๊อบปูล่าโหวตสูงสุด 7.9 ล้านเสียง เป็นอันดับ 1 เดินหน้าสู้ชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
นาทีนี้จึงต้องลุ้น ‘สูตรจับขั้วทางการเมือง’ จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่รูปแบบใด
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พูดคุยถึงทิศทางการเมืองไทยในห้วงเวลาฝุ่นตลบนี้กับ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต
รศ.ดร.สังศิต คาดการณ์ว่า นาทีนี้ไม่ว่าจะเป็น ‘พลังประชารัฐ’ หรือ ‘เพื่อไทย’ ต่างฝ่ายต่างตั้งรัฐบาลไม่ได้ทั้งคู่ ต้องปล่อยเวลาออกไประยะหนึ่ง เพื่อให้นักการเมืองทุกคนค่อย ๆ ตั้งสติ
“เพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ผ่าน ส่วนพลังประชารัฐ แม้ตั้งรัฐบาลได้ แต่จะบริหารประเทศไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอให้รอเวลาอีกระยะหนึ่ง ให้นักการเมืองทุกคนค่อย ๆ ตั้งสติกัน แล้วจะมีการปรับตัวเข้าหากันเอง เป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ แต่หากต่างฝ่ายต่างดื้อแพ่ง ไม่ยอมกัน เชื่อว่า ในที่สุด จะไม่มีพรรคใดได้อะไรเลย”
ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นหัวหน้าพรรค ถูกสปอตไลต์จับจ้องจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลและมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น นักวิชาการม.รังสิต เห็นต่าง โดยมองว่า เป็นไปไม่ได้ที่นายอนุทินจะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคภูมิใจไทยได้ที่นั่งเพียงจำนวนหนึ่ง แม้จะจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ไม่มีทางที่จะผ่าน ส.ว. 250 เสียงไปได้
“ตอนนี้คาดการณ์ว่า ไม่มีใครเป็นได้ นอกจากทุกคนตั้งสติกัน หรือมีอีกทางหนึ่ง หากตกลงกันไม่ได้ ต้องหาคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ และไม่ใช่เป็นคนของพรรคใดพรรคหนึ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน”
ทั้งนี้ รศ.ดร.สังศิต บอกว่า วันนี้จึงไม่อยากให้คิดไปว่า รัฐบาลในอนาคตจะบริหารประเทศไม่ได้ จนต้องยุบสภา แต่เราต้องพยายามทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ทุกคนในประเทศจะเสียผลประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด ไม่มีใครได้ประโยชน์เลย ฉะนั้นต้องช่วยกันประคับประคองให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้
รศ.ดร.สังศิต ยังมองต่อภายใต้วิกฤตที่รัฐบาลมีความเสี่ยงสูง ยังมีข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะจะเกิดการพิถีพิถันในการเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรี ที่เป็นคนดีพอประมาณ มีความสามารถพอประมาณ จะเกิดปรากฎการณ์นี้ แม้บางพรรคได้รับคะแนนเสียงไม่เยอะ แต่มีคนเก่งเรื่องนั้นอยู่ อาจจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้
“เสียงคุณไม่เยอะ แต่คุณต้องพูดเก่งจริง ๆ จะปรองดองได้มากที่สุด ทุกคนจะรู้ ถ้าเราไม่ปรองดอง คุณจะแพ้กันทุกคน วิกฤตนี้จะมีโอกาสดีได้เหมือนกัน”
ขัดเเย้งภายใน-มาร์คทิ้งไพ่ผิด ต้นเหตุ ปชป.พ่าย
เมื่อถามถึงการแพ้แทบล้มกระดานในสนามเลือกตั้งของ ‘ประชาธิปัตย์’ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม เชื่อว่า เกิดจากความขัดแย้งกันภายใน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า เมื่อเลือกหัวหน้าพรรคและแข่งขันนโยบายเสร็จ ยังไม่เลิกแล้วต่อกัน คนชนะยังไปรังแกคนแพ้ ในที่นี้หมายถึง ไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้คนจำนวนหนึ่งลาออกไป
ส่วนคนที่อยู่ได้ก็ไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือสนับสนุน เหมือนทำงานกันอยู่ครึ่งพรรค อีกครึ่งพรรคไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นความอ่อนแอภายในพรรค กลายเป็นปมปัญหาสำคัญในการแพ้ครั้งนี้
ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ยังทิ้งไพ่ผิดใบ ประกาศไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้สมาชิกพรรคที่เคยเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กกปส.) ตัดสินใจโยนไพ่ไปให้พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้คะแนนเสียงพลิกขึ้นมา
เพราะทุกคนคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแพ้ เลยลงคะแนนเสียงช่วย ประกอบกับภายใน 24 ชั่วโมง เกิดปรากฎการณ์ ‘ฮ่องกง’ ทำให้คนเกรงว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนดีขึ้นมาด้วย
“ในอนาคตประชาธิปัตย์จะฟื้นขึ้นมาได้นั้น ในอดีตเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ แพ้พรรคประชากรไทย แบบยกกรุงเทพฯ และอีกครั้ง แพ้พรรคพลังธรรม แต่ในที่สุดกลับมาได้ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบัน หลังจากชำระสะสางปรับเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นระยะยาวจะกลับมาได้ อาจเป็นคราวหน้า หมายถึงต้องจัดการเลือกตั้งให้โปร่งใส ได้คนที่ขึ้นมาเป็นผู้นำที่ทุกคนยอมรับว่าสามารถเรียกร้องความสามัคคีของทุกคนในพรรค และเสนอนโยบายทีดีได้”
สุดท้าย รศ.ดร.สังศิต กล่าวถึงคะแนนเสียงที่ล้มหลามเทให้กับพรรคอนาคตใหม่ด้วยว่า เนื่องจากมีการชิงจังหวะอย่างรวดเร็ว ภายหลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ทำให้คะแนนเสียงพรวดขึ้นมา 2 ล้านเสียง จนเกิดปรากฎการณ์แลนด์สไลด์
ภาพประกอบ:ไทยพับลิก้า
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/