ปัดใช้เชิงพาณิชย์!เครือข่าย ปชช.ขอความเป็นธรรม ก.คลัง เว้นเก็บภาษีองค์กรรับทุน สสส.
เครือข่ายภาคประชาชน ตบเท้ายื่นหนังสือ เลขาฯ รมว.คลัง เรียกร้องให้ยกเว้นการตรวจสอบ-ประเมินภาษีผู้รับทุน สสส. ตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน หลังมูลนิธิชุมชมไท ถูกอายัดเงิน 2.5 แสน อ้างเก็บภาษีย้อนหลัง เผยมีอีกหลายองค์กรโดนด้วย ยันที่ผ่านมาทำกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ หลังหารือกันยังไม่ได้ข้อยุติ เหตุต้องถกกรมสรรพากร-สสส.-สตง. ก่อน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2562 ที่กระทรวงการคลัง นางปรีดา คงแป้น กรรมการและเลขานุการมูลนิธิชุมชนไท พร้อมด้วย นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสช.) และตัวแทนองค์กรที่รับได้ทุนทำโครงการให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กว่า 60 คน เข้ายื่นหนังสือต่อเลขานุการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อเรียกร้องให้ยุติการเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม
โดยทางเครือข่ายมีข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้
1. ขอให้กำหนดมาตรการยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญา ตามประมวลรัษฎากรสำหรับผู้รับทุนดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพกับกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยเร็ว เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมด้านส่งเสริมความรู้ และทักษะ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นการทำงานด้านสังคม มิใช่ธุรกิจเชิงพาณิชย์
2. ขอให้กำหนดมาตรการยกเว้นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรแก่บุคคลตามสัญญารับทุนสร้างเสริมสุขภาพของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และการรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐทั้งหมดเพื่อมาดำเนินการในการช่วยเหลือสังคม เพราะเป็นการส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานของรัฐ ทั้งนี้ปัจจุบันมีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 291) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงขอเรียนเสนอให้มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรยกเว้นภาษีให้กับ หน่วยงาน องค์กร ที่ดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ เช่นเดียวกับองค์กรที่ดำเนินงานวิสาหกิจเพื่อสังคม
3. ระหว่างดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น ขอให้กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร ชะลอการเรียกเก็บภาษี ตามหนังสือกรมสรรพากร ด่วนที่สุด ที่ กค 0710/6611 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2561 และให้มีการรับฟังสภาพปัญหาจากองค์กรที่ถูกเรียกเก็บภาษีไม่เป็นธรรม เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ กรมสรรพากร สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน ซึ่งเป็นผู้พิจารณาการแก้ไขปัญหาก่อนหน้านี้จนนำมาซึ่งหนังสือกรมสรรพากรดังกล่าว เร่งหารือรอบใหม่เพื่อยุติปัญหาโดยขอให้มีตัวแทนของ ขสช. เข้าร่วมในการหารือนี้ด้วย
ทั้งนี้ เลขานุการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับหนังสือและเจรจากับตัวแทนเครือข่ายทั้ง 6 คนเพื่อพูดคุยและทำความเข้าใจในกรณียุติการเก็บภาษีดังกล่าว
ภายหลังการเจรจา นางปรีดา คงแป้น กรรมการและเลขานุการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังหาข้อยุติไม่ได้ เนื่องจากเพียงแค่รับเรื่องและจะทำบันทึกเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกทีหนึ่ง เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น การหารือระหว่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมสรรพากร และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถึงรายละเอียดในการหักภาษี ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าหากรายละเอียดข้อมูลมีความเรียบร้อยดีแล้วจะนำเรื่องเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในวันถัดไป และคาดว่าภายในอาทิตย์นี้จะได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
“ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้คือสรรพกรส่งหนังสือมาที่ธนาคารให้อายัดเงินของมูลนิธิชุมชนไท จำนวนกว่า 250,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่งสรรพกรไปตีความว่างบประมาณที่มูลนิธิได้รับเป็นการ “รับจ้างทำของ” ให้กับ สสส. แต่ในความเป็นจริงแล้ว มูลนิธิรับทุนสนับสนุนเพื่อนำมาทำกิจกรรมให้กับสังคม เราไม่ได้หนีภาษี ทำงานไม่ได้แสวงหากำไร หรือเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจใด ๆ จึงไม่ควรที่รัฐบาลจะมาเรียกเก็บภาษี แต่ควรมาช่วยสนับสนุน” นางปรีดา กล่าว
ส่วนนายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากที่ภาคีองค์กรภาคประชาชนได้ขับเคลื่อนให้มีการแก้ไขปัญหาภาษีที่ไม่เป็นธรรม กับองค์กรที่รับทุนสนับสนุนการทำโครงการจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จนกระทั่งมีหนังสือข้อตกลง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561 ออกมาจากกรมสรรพากร ดูเหมือนว่าปัญหาภาษีนั้นยังไม่จบ ซึ่งในทางปฏิบัติกลับมีองค์กรเพียงส่วนน้อยที่สามารถยุติปัญหาได้ระดับหนึ่ง และชั่วคราวเท่านั้น แต่สำหรับองค์กรที่รับทุนสนับสนุนเป็นแผนงาน ซึ่งส่วนใหญ่มีบุคลากรมากกว่าสิบคน กลับถูกไล่บี้และ รีดภาษีไม่หยุด
“แม้ว่าในส่วนของงบประมาณการจัดกิจกรรม จะไม่ถูกตีความเป็นการรับจ้างทำของเพื่อรีดภาษีตามการตีความเดิม แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของค่าบริหารจัดการ เช่น เงินเดือน, ค่าสาธารณูปโภค, ค่าเช่า ฯลฯ ถูกเหมารวมว่าเป็นเงินรายได้ของมูลนิธิทั้งก้อน ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะถูกเรียกเก็บภาษีอีก 7% ย้อนหลัง และถูกเบี้ยปรับสารพัด เสมือนเป็นองค์กรที่แสวงหาผลกำไร ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ในการใช้จ่ายต่าง ๆ มูลนิธิได้จ่ายภาษีด้วยแล้ว เช่น เงินเดือนได้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ก่อนจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่โครงการ ซึ่งเจ้าหน้าที่โครงการได้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลประจำปี หรือค่าสาธารณูปโภค โดยรวมถึงการจ่าย vat อยู่แล้ว ทั้งนี้ การคิดภาษีที่ไม่เป็นธรรมและเก็บซ้ำซ้อน ทำให้แต่ละองค์กรมีภาษีที่ต้องจ่ายหลายล้านบาท ส่วนของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มีการคำนวณคร่าว ๆ จากสรรพากร ที่ต้องจ่ายเป็นเงินมากกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งในความเป็นจริง มูลนิธิไม่สามารถมีเงินมาจ่ายได้อยู่แล้ว เพราะเราไม่มีกำไรไม่มีเงินสะสมแบบธุรกิจ” นายจะเด็จ กล่าว
นายจะเด็จ กล่าวอีกว่า การรีดภาษีแบบนี้เท่ากับการยัดเยียดให้เราเป็นองค์กรที่แสวงหากำไร ซึ่งไม่ยุติธรรม ที่ผ่านมาเราเห็นการยกเว้นภาษีให้องค์กรภาคธุรกิจ เกิดขึ้นในหลายรูปแบบในรัฐบาลนี้ แต่อีกด้านหนึ่งองค์กรที่ทำงานช่วยภาครัฐในการลดปัญหาสังคม สร้างความเข้มแข็งสร้างสุขภาวะที่ดีของประชาชน ซึ่งเป็นช่องว่างที่ภาครัฐยังเข้าไม่ถึง กลับถูกรีดภาษีอย่างไม่เป็นธรรม รัฐบาลนี้กำลังสร้างมรดกบาปให้กับคนทำงานภาคสังคม ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น เรายังหวังว่ารัฐบาล กรมสรรพากร และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจะทบทวนและรีบยุติปัญหาเหล่านี้ ก่อนที่องค์กรต่าง ๆ จะเข้าสู่สภาวะล้มละลาย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/