ชาวบ้านโฉนดชุมชนสุราษฎร์ฯ ร้องผ่านสื่อ ขอศาล-สปก.ยุติบังคับไล่รื้อ 29 มิ.ย.
ทนายอาสาฯ นำชาวสันติพัฒนา สุราษฎร์ฯ ร้องผ่านสื่อวอนศาล-สปก.ยุติบังคับไล่รื้อ 29 มิ.ย. ระบุพื้นที่ทับซ้อน นายทุนครอบครองมิชอบ-รบ.รับรองโฉนดชุมชน คนคลองไทรถูกข่มขู่หวั่นความปลอดภัย
วันที่ 27 มิ.ย.55 ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง ชาวชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ ทนายความอาสาจากสำนักงานสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ รวม 10 คน เข้าร้องเรียนต่อสำนักข่าวอิศรา กรณีเป็นพื้นที่ผ่านการรับรองให้นำร่องเตรียมออกโฉนดชุมชนสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ถูกบริษัทเอกชนฟ้องคดี ซึ่งจะมีการไล่รื้อตามคำสั่งศาลชั้นต้น 29 มิ.ย.นี้
โดยชาวบ้านสันติพัฒนา ระบุว่าในปี 2550 พวกตนเข้าไปตั้งชุมชนในที่ดิน สปก.ที่บริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ครอบครองโดยมิชอบ แต่บริษัทฟ้องคดีชาวบ้านบุกรุก 1,486 ไร่ (โดยระบุว่าบริษัทมี น.ส.3ก 330ไร่ ที่เหลืออยู่ระหว่างออกเอกสารสิทธิ์) ทั้งนี้ชาวบ้าน 12 รายโดนคดีอาญาข้อหาบุกรุกและคดีแพ่งข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายรวม 15 ล้านบาท ชาวบ้านต่อสู้คดีว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของรัฐทั้งที่ดิน สปก. 300 ไร่เศษ ซึ่งสำนักงานปฏิรูปที่ดิน(สปก.) เตรียมฟ้องคดีบุกรุกกับบริษัท แต่มีการยอมความโดยบริษัทส่งมอบพื้นที่คืน สปก. ซึ่งวันที่ 29 ธ.ค.54 สปก.ได้ให้ชุมชนเข้าไปใช้ประโยชน์ อีกส่วนเป็นที่ดินป่าไม้ 1,200 ไร่เศษ(รวมที่ดินที่บริษัทอ้างว่ามี น.ส.ก ซึ่งจากการตรวจสอบของดีเอสไอและหลายหน่วยงานพบว่าเอกสารสิทธิไม่ชอบด้วยกฏหมาย)
ระหว่างการต่อสู้คดี รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ตั้งคณะทำงานช่วยเหลือชาวบ้านในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ โดยผ่อนผันให้ชาวบ้านอยู่ในที่ดิน สปก.และให้มีการชะลอคดีต่างๆไว้ก่อนจนกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดคือ คดีอาญานั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชาวบ้าน 9 รายมีโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างอุทรณ์ ส่วนคดีแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชาวบ้าน 12 รายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่และชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท คดีอยู่ระหว่างอุทรณ์ แต่จะมีการไล่รื้อตามหมายศาลวันที่ 29 มิ.ย.นี้
“สิ่งที่พวกเราเรียกร้องคือ 1.ตอนนี้คดีอยู่ในชั้นศาลอุทรณ์ ขอให้ยับยั้งการไล่รื้อไว้ก่อน 2.อยากให้มีการจำหน่ายคดีออกเพราะเป็นที่ที่บริษัทครอบครองผิดกฏหมาย จึงไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ไม่ควรจะฟ้องได้” นายบุญฤทธิ์ ภิรมย์ ตัวแทนชาวบ้านสันติพัฒนา กล่าว
ส่วนชุมชนคลองไทร ชาวบ้านเข้าไปตั้งชุมชนในพื้นที่พิพาทปี 2552 หลังจาก สปก.ฟ้อง บ.จิงกัวจุ้ยพัฒนา ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติ ว่าครอบครองที่ดิน สปก.มิชอบ ศาลชั้นต้นตัดสินให้บริษัทย้ายออกไป แต่มีการยื่นฎีกาและยังคงทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ ขณะเดียวกันบริษัทก็ยื่นฟ้องขับไล่ชาวบ้านข้อหาบุกรุก ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีวันที่ 17-18 ก.ค.นี้
“ก่อนหน้านี้บริษัทเอารถไปไถและเผาไล่รื้อ และยังมีชาวบ้านถูกยิงเสียชีวิต แต่ตำรวจจับผู้ร้ายไม่ได้ ปัจจุบันยังมีการยิงปืนข่มขู่ทุกวัน” นายสุพจน์ กาฬสงค์ ตัวแทนชาวบ้านคลองไทรกล่าว
ด้าน นางอำพร สังข์ทอง ทนายความอาสา กล่าวว่าสำนักงานสิทธิมนุษยชน สภาทนายความได้เข้ามาช่วยเหลือ รวมทั้งมีเงินจากองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมเข้ามาช่วยในการสู้คดีและประกันตัวชาวบ้าน ซึ่งมีการยื่นคำร้องให้ศาลยุติการบังคับคดีไล่รื้อวันที่ 29 ก.ค.ไว้ก่อน แต่ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งลงมา
“ภาพรวมแล้วรัฐบาลควรลงมาแก้ไขเพราะเป็นที่ดินรัฐที่เอกชนครอบครองมิชอบ การต่อสู้ของชาวบ้านก็เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นของรัฐแล้วให้รัฐกระจายสู่ชาวบ้านไม่มีที่ทำกินตามนโยบายโฉนดชุมชน แต่ระหว่างรอรัฐต้องช่วยเหลือเรื่องคดีกันเป็นกรณีๆไป กรณีสันติพัฒนาอยากให้ชะลอการไล่รื้อเพราะอยู่ระหว่างอุทรณ์ ส่วนคลองไทรยังไม่พิจารณาคดี แต่เป็นห่วงความปลอดภัยชาวบ้าน” นางอำพร กล่าว
น.ส.ศิริวรรณ ว่องเกียรติไพศาล ทนายความอาสา กล่าวว่าคดีที่ดินในปัจจุบันเป็นปัญหามากเพราะรัฐอนุญาตให้มีการสัมปทานพื้นที่ป่า และหลายพื้นที่นายทุนเข้าไปบุกรุก ขณะเดียวกันรัฐก็ไม่มีนโยบายชัดเจนในการจัดสรรที่ดินให้ชาวบ้าน เช่น 2 ชุมชนดังกล่าวเป็นพื้นที่นำร่องเตรียมออกโฉนดชุมชน ชาวบ้านเดินตามนโยบายรัฐบาลมาตลอดแต่โดนคดีในพื้นที่ที่นายทุนครอบครองมิชอบ รัฐก็รู้ แต่ยืนดู
“28มิ.ย. จะไปเรียกร้องที่ สปก.ให้ทำหนังสือถึงหน่วยงานบังคับคดีสุราษฏร์ฯ ว่าเป็นที่ดิน สปก.บริษัทไม่มีสิทธิ์เข้าไปไล่รื้อ และขอให้ยุติการไล่รื้อไว้ก่อน” ทนายความอาสา กล่าว.
ที่มาภาพ : http://thaiban.org/web/?p=71