จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐเรื่องสารเคมีการเกษตร
"...สังคมที่ดี ควรควักข้อมูลที่ตรวจสอบได้มาถกกันให้โปร่งใส ตรงไปตรงมา และมาชั่งน้ำหนักกันถึงผลดีผลเสียของมาตรการแบน กับมาตรการควบคุมการใช้..."
จะแบน หรือจะควบคุมการใช้?
สารเคมีการเกษตร ขึ้นชื่อว่าสารเคมีนั้นย่อมมีผลข้างเคียงได้หากใช้ไม่ถูกวิธี
โลภมาก ใช้ผิดวิธี คนที่ใช้ก็มีโอกาสรับสารพิษและเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ แถมยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเคลือบไปกับพืชผลการเกษตรและอาจส่งผลเสียต่อประชาชน
หลักฐานที่ควักออกมา ปั่นจนทุกคนตื่นกลัวนั้น มีทั้งที่จริงและไม่จริง
แทบไม่มีทางเลยที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ จะมีปัญญาไปเช็คความจริงหรือความถูกต้องได้เอง ได้แต่รับฟังผ่านนักวิชาการ และเหล่ากลุ่มคนที่พยายามเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะตัวทั้งสิ้น
สังคมที่ดี ควรควักข้อมูลที่ตรวจสอบได้มาถกกันให้โปร่งใส ตรงไปตรงมา และมาชั่งน้ำหนักกันถึงผลดีผลเสียของมาตรการแบน กับมาตรการควบคุมการใช้
ปรากฏการณ์การใช้สารเคมีกันเกร่อ จนเกิดผลกระทบต่างๆ นั้น เกิดจากอะไร? จากคนใช้สารเคมีมันไม่ดี หรือคนบังคับใช้กฎหมายและตรวจตรากำกับนั้นไม่มีปัญญาทำงานให้มันดี? คิดจะแก้ไขกันหรือยัง ก่อนที่จะไปตัดสินใจว่าจะแบน ขจัดสารเคมีให้สิ้นซากจากแผ่นดิน
จะบอกว่ามีกฎระเบียบแต่บังคับใช้ไม่ได้จริงนั้น หากเรื่องสารเคมียังทำไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นในสังคมจะทำได้อย่างไร? คิดดูให้ดี
เอาล่ะ...ถ้าจนปัญญา ขนาดที่รัฐกำลังจะทำตามกระแสกดดดันให้แบนสารเคมีการเกษตรอย่างที่กำลังเป็นข่าวจริง
จะเซอร์ไพรส์ในวันแห่งความรักนั้น รักที่รัฐกำลังจะส่งให้ประชาชนในรูปแบบนโยบายนั้นจะเป็นรักที่หวานชื่น หรือรักที่ขมขื่นระยะยาว จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจ
1. มีหลักฐานที่พิสูจน์ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวเลขที่ชัดเจนไหม ว่าด้วยสถานะปัจจุบัน หากแบนสารเคมีตัวนั้นๆ ไปจากการเกษตรไทยแล้ว จะกระทบต่อปริมาณผลิตผลการเกษตรชนิดต่างๆ ที่ใช้สำหรับกินของคนไทยหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และจะเพียงพอที่กินในประเทศและส่งออกหรือไม่
ข้อมูลวิจัยต่างประเทศ ทำการประเมินกว่า 500 ฉากทัศน์ พบว่ายากมากที่เกษตรไร้สารเคมีจะสามารถผลิตเลี้ยงคนทั้งโลกได้ ตราบใดที่พื้นที่ที่ทำเกษตรแบบนี้ยังมีจำกัดอยู่ หากคิดจะทำก็ต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้พอ และรองรับให้ดีว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านจะขาดทุน จะอดอยาก จะต้องนำเข้าจากประเทศอื่นหรือไม่ อย่างไร
ถ้ามีวิจัยที่ชัดเจน และบอกตัวเลขที่ยืนยัน และรัฐสัญญาได้ว่า ปริมาณจะเพียงพอ ก็ว่ามาให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โชว์มาบนโต๊ะ บนสื่อสังคม จะได้รับทราบกัน หรือหากเกิดผลกระทบรุนแรงอย่างไม่คาดคิด ก็สำแดงมาด้วยว่าจะไปไล่เบี้ยเล่นงานใครได้บ้าง ให้รับผิดชอบกับความกระหายที่จะผลักดันเรื่องแบนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ และขอร้องคือ ถ้าแน่จริง อย่าใช้ตำแหน่ง เพราะตำแหน่งมาแล้วก็ไป แต่แสดงตนออกมาเป็นคน หรือกลุ่มคนที่ขอรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นทางลบต่อประชาชนคนหมู่มาก
2. ราคาค่างวด ที่เกษตรกรต้องแบกรับหากทำเกษตรแบบไร้สารเคมี "ให้ได้ผลผลิตปริมาณเท่าเดิม" นั้น จะเพิ่มขึ้น ลดลง หรือเท่ากับปัจจุบัน บอกตัวเลขมาให้ชัด อย่ามาตีขลุมเขียนบทความเผยแพร่โดยบอกแต่ตัวอักษรที่ไม่ใช่ตัวเลข
ข้อมูลวิจัยต่างประเทศ ชี้ชัดว่า ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยราว 22-35% จากของเดิม นั่นแปลว่า ราคาผลผลิตหน้าไร่ หน้าตลาด ก็ย่อมสูงขึ้นตามนั้นเป็นอย่างน้อย และที่ไม่มีใครพูดถึงเลยคือ ราคาอาหารการกินในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวแกง อาหารถุงปรุงสำเร็จ จะสูงขึ้นกว่าหน้าไร่และหน้าตลาด
ข้อมูลเมืองไทยที่สำแดงผลกระทบต่อราคาที่ผู้บริโภคทุกคนในประเทศต้องเตรียมแบกรับน่ะมีบ้างไหม ได้คิดบ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็จงสำแดงออกมาให้เห็น เพื่อให้รู้ว่าที่เรียกร้องและผลักดันกันอยู่นั้น ไม่ใช่มองแบบกิเลสบังตา แต่คิดแบบใจเขาใจเรา คิดถึงพี่น้องประชาชนที่ยากจนหรือเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่มีจำนวนเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
การเรียกร้องให้ปลอดภัย บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากสารน่ะ ดี...ดีจนไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่หากเรียกร้องแล้ว มีของปราศจากสารเคมี แต่ราคาสูงจนไม่สามารถเข้าถึงได้จริง ก็จะกลายเป็นนโยบายที่นำไปสู่ความอดอยาก ไม่มีทางเลือกในการบริโภคหรือใช้ชีวิต ต้องไปกินอาหารอื่นที่ราคาถูกแบบฝรั่งตะวันตกที่ผักราคาแพง ต้องไปเลือกกินอาหารแคลอรี่สูง ไฟเบอร์น้อย ก็จะนำมาสู่ปัญหาโรคไม่ติดต่อ อ้วน ความดัน ไขมันสูง และอื่นๆ ตามมาในระยะยาว
เรียกร้องให้บริสุทธิ์ผุดผ่องน่ะ ดี...แต่เคยเห็นการสำแดงทางเลือกอย่างละเอียดบ้างไหมว่า มีกี่ทาง แต่ละทางนั้นเหมาะกับพืชอะไร ทำอย่างไรบ้าง ต้องลงทุนอะไร อย่างไรบ้าง ราคาเท่าไรบ้างอย่างละเอียด ประสิทธิภาพของทางเลือกแต่ละทางนั้น ส่งผลอย่างไรกับผลผลิต และต้องจ้างงานคนเพิ่มมากแค่ไหน ว่าด้วยเรื่องแรงงานคนนั้นหาง่ายหรือยากก็พิจารณากันดู จะมีการเตรียมระบบการจัดหาคนให้ระบบการเกษตรด้วยไหม คนไทยจะทำหรือเปล่า หรือต้องพึ่งนำเข้าจากต่างชาติเหมือนยืมจมูกเค้ามาหายใจ
ทางเลือกด้านการใช้เครื่องจักร ใครจะลงทุน รายย่อยจะให้มาจับกลุ่มกันเพราะร่วมลงทุน พูดเป็นการ์ตูนไปไหม ทำได้จริงทุกพื้นที่จริงหรือ หรือจะมีกลไกช่วยเหลืออย่างไร บังคับทำหรือจะใช้ฉันทามติ นโยบายที่จะประกาศต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบ
ธรรมาภิบาลของรัฐ ต้องคำนึงถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีส่วนร่วม ตอบสนองต่อปัญหา เป็นไปตามหลักนิติธรรม คำนึงถึงประสิทธิภาพ คุ้มค่า เป็นธรรม
นโยบายที่ประกาศออกมา รัฐต้องคิดให้รอบคอบ ยึดมั่นในประโยชน์สุขของประชาชน
ถ้าทำไม่รอบคอบ จะกลายเป็นว่า ลดการตายจากสารพิษเฉียบพลัน ไปสู่การตายจากสาเหตุอื่นในระยะยาว ไม่ว่าจะอดอยากตาย ทุพโภชนาการ หรือโรคที่เกิดจากการกินที่ไม่มีทางเลือกอันเป็นผลจากกำแพงราคาหรือปัญหาอุปสงค์อุปทานของห่วงโซ่การผลิต
รัก...หวานหรือขมขื่น บิ๊กๆ ทั้งหลายโปรดตัดสินใจให้ดี
ด้วยรักต่อทุกคนครับ
อ้างอิง
1. Reganold J. Can we feed 10 billion people on organic farming alone? The Guardian. 14 August 2016.
2. Erb KH et al. Exploring the biophysical option space for feeding the world without deforestation. Nature Communications 2016;7:Article number 11382.
3. Organic farming statistics. Eurostat. November 2017.
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก http://chemsafe.chula.ac.th