โครงสร้างปกครองอบจ.-ผู้ว่าฯ ทับซ้อน นักวิชาการเสนอตั้งจังหวัดจัดการตนเอง
นักวิชาการชี้โครงสร้างปกครองอบจ.-ผู้ว่าฯ ทับซ้อน เหตุกระจายอำนาจท้องถิ่นไม่คืบ เสนอตั้งจังหวัดจัดการตนเอง กก.ปฏิรูปกฎหมายระบุไทยเตรียมชงกฎหมายตั้งสภาองค์กรส่วนท้องถิ่นแห่งชาติ
วันที่ 24 มิ.ย. 55 คณะกรรมการภาคประชาสังคม สภาพัฒนาการเมือง ร่วมกับกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ จัดประชุม “การกระจายอำนาจกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย” ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอ.คมสัน โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) กล่าวถึงทิศทางของการกระจายอำนาจของประเทศไทย : อดีต ปัจจุบัน อนาคตความคาดหวังและโอกาสแห่งความสำเร็จว่า คนไทยมักคิดว่าการกระจายอำนาจเป็นเรื่องไกลตัวและมักเกี่ยวโยงกับการเมืองระดับชาติเท่านั้น ทั้งที่ความจริงกลับเกี่ยวเนื่องการเมืองท้องถิ่น ส่งผลให้ประเทศไทยแม้จะมีรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการตนเองยังคงถูกระบบราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคครอบงำจนขาดอิสระผ่าน 3 เงื่อนไขที่ทำให้การบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสบปัญหา ได้แก่ 1.งบประมาณ 2.การบริหารงานบุคคล และ3.การกำกับดูแลตามกฎหมาย
อ.คมสัน กล่าวต่อว่า การกำกับดูแลตามกฎหมายเกิดมากขึ้นในสังคมอย่างเช่นกรุงเทพฯ ที่ประสบปัญหาการต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอสจนเกิดข้อโต้เถียงว่าสุดท้ายควรให้สัมปทานโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยดูแลหรือว่าจ้างโดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ดูแล ทั้งที่ความจริงควรอยู่ในอำนาจของท้องถิ่น เช่นเดียวกับกรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลหลายแห่งที่พบปัญหาซ้ำซ้อนการทำงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของประเทศยังวิกฤต เพราะองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นเพียงผู้รับนโยบายจากส่วนกลางและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนการเมือง
ด้านศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย ผู้นำปฏิวัติหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือนายปรีดี พนมยงค์ เสนอแนวคิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมได้ เพราะนักการเมืองไทยมักคิดว่าหากมีอำนาจคุมส่วนกลางการปกครองของไทยได้ เสมือนเป็นเจ้าของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ส่อทุจริตขึ้นตลอดมาจนถูกขนานนามว่าการปกครองวิถีการพนันที่มุ่งทำธุรกิจเป็นหลักมากกว่าการสร้างความชอบธรรม จนช่วงปี 40 ถึงปัจจุบันยอมรับว่ามีนักการเมืองหลายท่านที่ส่งเสริมการกระจายอำนาจจริงจัง โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง
ศ.ดร.จรัส ยังกล่าวว่า หากการกระจายอำนาจไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ในสภาวะที่การเมืองไทยยังยึดการบริหารแบบรวมศูนย์ การส่งเสริมให้เกิดธรรมนูญจังหวัดจัดการตนเองเป็นทางออกหนึ่ง เช่นในจ. อำนาจเจริญและขอนแก่น ส่วนแนวคิดจะแก้กฎหมายให้อำนาจอบจ.มากขึ้นคงยาก เพราะจะทำให้การสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานระดับภูมิภาคไร้ความหมาย
ขณะที่รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ยาวนานถึง 80 ปี มักอยู่ในอำนาจของกลุ่มทุน ส่วนประชาชนซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกลับเข้าไม่ถึงสถาบันการเมืองส่วนกลาง ทำให้หลายพื้นที่เริ่มขับเคลื่อนจัดตั้งจังหวัดจัดการตนเอง เพราะตระหนักดีว่าในอนาคตไทยยังคงยึดการปกครองลักษณะรวมศูนย์เช่นเดิม แม้นักการเมืองจะยืนยันว่าพร้อมกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นก็ตาม
“การกระจายอำนาจของไทยไม่สามารถเทียบกับชาติตะวันตกได้ เพราะชุมชนในตะวันตกเกิดขึ้นก่อนจัดตั้งรัฐ กฎหมายต่าง ๆ จึงร่างขึ้นในบริบทความเข้มแข็งและการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่น ขณะที่ไทยเป็นชุมชนเกษตรกรรมที่รวมตัวกันตามวิถีอยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง แต่มิได้เพื่อปกครองตนเอง การจัดการจึงยากกว่า”
ทั้งนี้รศ.ดร.บรรเจิด ยังยกตัวอย่างประชาชนจ.ระยองร้องเรียนถึงปัญหาที่เกิดจากโครงการขนาดใหญ่และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำว่าไม่สามารถบริหารจัดการด้วยตนเองได้ แม้จังหวัดจะมีรายได้ให้กับประเทศปีละ 7 แสนล้าน แต่อบจ.กลับได้งบประมาณเพียง 1.2 พันล้านเท่านั้น จึงเป็นข้ออ้างที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคนในพื้นที่ได้ จึงยอมไม่ได้ที่จะให้อำนาจจากส่วนกลางมาครอบงำการบริหารจัดการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น
ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิมากขึ้นทิศทางการกระจายอำนาจจึงควรไม่หวังพึ่งเพียงการเลือกตั้งนักการเมืองท้องถิ่น แต่ควรตั้งสภาพลเมืองทำหน้าที่วางแผนทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ เช่น จัดแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติหรือวัฒนธรรม ซึ่งอาจขัดแย้งกับความต้องการของส่วนกลางที่มุ่งพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอย่างเดียว ส่วนงบประมาณจะได้รับจากท้องถิ่น นอกจากนี้ปัจจุบันมีการร่างกฎหมายจัดตั้งสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรช่วยขับเคลื่อนการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง เพราะกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของประชาชน และจำเป็นต้องเชื่อมโยงความร่วมมือในพื้นที่เข้ากับสถาบันการเมืองด้วย.
ที่มาภาพ:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340286937