“ยิ่งลักษณ์” สั่งเบรกมติ สปสช.เก็บ 30 บาท โบ๊ยให้ รพ.ตัดสินใจเองว่าจะเก็บหรือไม่
แพทย์ชนบทเผย “ยิ่งลักษณ์” สั่งเบรก สปสช.ไม่ให้บังคับเก็บ 30 บาทรักษาโรค โบ๊ยให้ รพ.ตัดสินใจเอง ผู้ป่วยไตวายโวยมติ 3กองทุนสุขภาพมั่ว ไม่ได้สร้างความเท่าเทียมให้ผู้ป่วยไตวายจริง
วันที่ 22 มิ.ย.55 นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทและอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าในการประชุมสร้างความเท่าเทียมของ 3 กองทุนประกันสุขภาพ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมานายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ได้เสนอมติการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ด สปสช.)ที่ให้มีการกลับมาเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทจากผู้ป่วยที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ตั้งแต่โรงพยาบาลประจำจังหวัดขึ้นไป (ยกเว้นผู้ที่สังคมควรให้การช่วยเหลือ) ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 55 เป็นต้นไป
โดยนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมสามกองทุนฯ ให้บอร์ด สปสช.กลับไปทบทวนมติเก็บ 30 บาทใหม่ เนื่องจากระบบและคุณภาพการให้บริการในปัจจุบันยังไม่พร้อม และยังเสนอให้โรงพยาบาลเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะเก็บ 30 บาทหรือไม่ เมื่อโรงพยาบาลมีการพัฒนาการให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้นแล้ว
“นายกฯน่าจะสั่งให้ยกเลิกความคิดกลับมาเก็บ 30 บาทอีกไปเลย เพราะนักวิชาการและผู้ใหญ่ในประชาคมสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็น อ.อัมมาร สยามวาลา หรือ นพ.อมร นนทสุต อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่เพิ่มช่องว่างสร้างความแตกต่างระหว่างผู้ป่วยบัตรทองที่ต้องเสีย 30 บาท แต่ผู้ป่วยข้าราชการไม่ต้องร่วมจ่ายอะไรเลย” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวต่อว่าการผลักภาระให้โรงพยาบาลเป็นผู้พิจารณาว่าจะเก็บเงิน 30 บาทจากคนไข้หรือไม่ ทำให้โรงพยาบาลต้องเผชิญหน้าขัดแย้งกับผู้ป่วย โดยรัฐบาลลอยตัวเพียงต้องการให้มีการเก็บ 30 บาท เพื่อเป็นโลโก้ทางการเมือง และที่นายกรัฐมนตรีฝากให้โรงพยาบาลต่างๆ มีการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มให้บริการมากขึ้น มีการขยายบริการนอกเวลานอกสถานที่เพิ่มขึ้น อยากถาม รมว.สธ.ว่าจะทำได้จริงหรือ และจะทำอย่างไร ในเมื่อปีนี้ รพ.จำนวนมากประสบภาวะน้ำท่วม เครื่องมือทางการแพทย์เสียหาย แต่งบเหมาจ่าย สปสช. ปี 2555 กลับถูกปรับลดลงร้อยละ 5 เพื่อช่วยน้ำท่วม และปีหน้า 2556 รัฐบาลจะคงให้งบเหมาจ่ายคงที่เท่ากับปีนี้ที่ถูกปรับลดลงแล้ว ขณะที่ รพ.ต่างๆ โดยเฉพาะ รพ.ชุมชนขนาดเล็ก มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จากการขึ้นเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างตามนโยบายรัฐบาลและภาวะเงินเฟ้อ
“แถมงบครุภัณฑ์ทางการแพทย์กว่า 7,000 ล้านบาทของโครงการไทยเข้มแข็งเดิมที่รัฐบาลที่แล้วเริ่มต้นไว้ กลับถูกระทรวงสาธารณสุขเตะถ่วงไว้อย่างไม่มีเหตุผล รวมทั้งงบลงทุนค่าเสื่อมกว่า 500 ล้านบาท และงบช่วยน้ำท่วมอีก 300 กว่าล้านบาท ที่บอร์ด สปสช. ชุดใหม่ยกให้ สธ.เป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ให้ รพ.ต่างๆ แต่กลับมีกระบวนการคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจในกระทรวงร่วมกับพ่อค้ากำลังหาประโยชน์จากงบ 2 ก้อนนี้ เหมือนกรณีทุจริตยาที่อื้อฉาวในอดีต แบบนี้คุณภาพบริการของ รพ.ต่างๆ ในสังกัดกระทรวงจะพัฒนาดีขึ้นได้อย่างไร คาดได้เลยว่าปีหน้า รพ.ต่างๆจะมีวิกฤตทางการเงิน และระบบหลักประกันสุขภาพไทยที่มีการพัฒนาต่อเนื่องมา 10 ปี จะถดถอยพังทลายลงกลายเป็นระบบอนาถาของคนจนที่ถือบัตรทอง” เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าว
ด้าน นายสหรัฐ ศราภัยวนิช รักษาการประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่ารู้สึกสับสนกับมติที่ประชุม 21 มิ.ย.เรื่องที่ให้ 3กองทุนใช้มาตรฐานการแพทย์เดียวกันในการวินิจฉัยผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และให้มีการคงวิธีการทดแทนไตให้ต่อเนื่อง แม้จะมีการเปลี่ยนสิทธิเปลี่ยนกองทุนก็ตาม เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ผู้ป่วยไตวายของทั้ง 3 กองทุนมีความเท่าเทียมกัน นายกรัฐมนตรีน่าจะรู้ว่าขณะนี้ทุกสิทธิใช้มาตรฐานการวินิจฉัยโรคไตวายของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยไม่ต่างกันอยู่แล้ว และทุกกองทุนก็มีแนวปฏิบัติที่ให้มีการทดแทนไตด้วยวิธีเดิมเมื่อผู้ป่วยมีการเปลี่ยนสิทธิจากกองทุนหนึ่งไปยังอีกกองทุนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเพิ่มใหม่ที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน
“สิ่งที่ผู้ป่วยไตวายรอคอยการแก้ไขอยู่และทั้ง 3กองทุนยังให้ไม่เท่ากัน เช่น ผู้ป่วยฟอกเลือด ระบบประกันสังคมจ่ายให้ รพ. ครั้งละ 1,500 บาท ส่วนเกินให้ผู้ป่วยจ่ายเพิ่มเอง ขณะที่ระบบ สปสช.จ่ายครั้งละ 1,500 สำหรับผู้ป่วยทั่วไป แต่ถ้าเป็นผุ้ป่วยสูงอายุและมีโรคแทรกซ้อนจ่ายครั้งละ 1,700 บาท และห้าม รพ.เก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยทุกคนที่ไม่มีข้อห้ามต้องใช้วิธีผ่านทางช่องท้องก่อน ส่วนสวัสดิการข้าราชการจ่ายครั้งละ 2,000 บาท และการเข้าถึงยากระตุ้นสร้างเม็ดเลือดแดงของ 3 กองทุนก็ต่างกัน ผู้ป่วยประกันสังคมต้องจ่ายเงินเพิ่มให้ รพ. ครั้งละ 200 – 300บาท ต่อสัปดาห์ แต่ผู้ป่วย สปสช. ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และสวัสดิการข้าราชการการจ่ายชดเชยให้ รพ. ในอัตราที่สูงกว่ายาเดียวกันของ สปสช. หลายเท่าตัว ทำให้การเข้าถึงยาเข้าถึงบริการของผู้ป่วยไตวายแตกต่างกัน” รักษาการประธานชมรมเพื่อนโรคไตฯ กล่าว