นักวิชาการเผย 80 ปี ปชต.ไม่เข้มแข็ง-รัฐประหาร 49 เปิดกล่องความขัดแย้ง
อ.รัฐศาสตร์ จุฬาฯ บอก ประชาธิปไตยไทยยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน ยังเกิดความขัดแย้ง แนะ หาทางออกภายใต้กฎหมาย ด้าน รศ.ดร.สุรชาติ มองอนาคตการเมืองไทยยังไร้เสถียรภาพ อย่างต่อเนื่อง-ยาวนาน
วันที่ 21 มิถุนายน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันศูนย์ติดตามประชาธิปไตย จัดงาน “80 ปี ประชาธิปไตย :รัฐศาสตร์กับการเมืองไทย” ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “วิกฤตและความขัดแย้งทางการเมืองเชิงสถาบัน” โดยมี ศ.ดร.อนุสรณ์ ลิ่มมณี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อ.ประจำสภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และประธานสถานบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเสวนา ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าให้ลุกลามไปถึงสงคราม เพราะเราสร้างภาวะสงครามขึ้นมานาน โดยเฉพาะในรอบ 10 ที่ผ่านมา เป็นไปในแง่ที่แย่ลง ไม่มีผลดีที่จะพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งบัดนี้เราไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข้งและมั่นคงได้ เรายังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อมาเรื่อยๆ แม้จะปฏิรูป แต่ก็กลับไปสู่ภาวะเดิมเริ่มต้นกันใหม่ตลอดเวลา ฉะนั้นสถาบันต้องประคองไว้และให้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ถ้าขัดแย้งก็หาทางออกภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ เชื่อว่า จะได้ประชาธิปไตยที่เต็มรูปแบบ
“สำหรับความขัดแย้งเชิงสถาบันที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นความขัดแย้งใน หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งแน่นนอนว่าความขัดแย้งเกิดจากการที่แต่ละฝ่าย พยายามผลักดันให้กลไกเป็นไปในด้านที่ตนเองจะได้เปรียบ และได้ประโยชน์โดยเชื่อว่าสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ฉะนั้นแต่ละฝ่ายจึงเปิดสงครามโดยอ้างประชาธิปไตย และทะเลาะกันว่า ใครเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากันทั้งๆที่ ทั้งสองฝ่ายเป็น "ขา" ของ ประชาธิปไตยที่ขาดไม่ได้” ศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว และว่า 2 หลักการสำคัญของประชาธิปไตย คือ 1.หลักการเสียงข้างมาก ที่มีตัวแทนคือ รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติที่มีความยึดโยงกับประชาชนโดยตรงจากการเลือกตั้ง และ 2.หลักการการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการตรวจสอบอำนาจรัฐ โดยมองว่า ฝ่ายตุลาการเป็นกลไกที่ดีที่สุดที่สามารถตรวจสอบได้
อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ความขัดแย้งเชิงสถาบันจริงๆ แล้วเป็นปัญหาที่ฝ่ายหนึ่งยึดหลักเสียงข้างมากอย่างเดียว โดยไม่ยึดหลักการตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิผู้อื่น ในขณะที่อีกฝ่ายก็ใช้การตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิตนเองจากการใช้อำนาจตาม อำเภอใจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายนี้ก็มักจะมีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนการปกครองโดยการยึดอำนาจ ซึ่งไม่ถูกต้อง ฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้น สะท้อนในเชิงสถาบันว่า การยึดอำนาจด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้แก้ปัญหา แต่เพิ่มปัญหามากขึ้น นั่นคือการยึดขาใดขาหนึ่งโดยไม่มองขาอีกด้านนั้นทำให้มีโอกาสที่จะเกิดความ ขัดแย้งเรื่อยๆ และไม่ได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“หากคิดจะแก้ปัญหาความขัดแย้ง และมีประชาธิปไตยให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ โดยมีรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนเสียงข้างมาก และมีตุลาการเป็นตัวแทนตรวจสอบ โดยทั้งสองสถาบันสามารถทำงานได้ภายใต้เกมประชาธิปไตยเดียวกัน และเมื่อเกิดข้อขัดแย้งก็หาทางออกภายในกรอบกฎหมาย หากเป็นเช่นนี้เราก็จะได้ทั้งสองอย่าง คือได้ประชาธิปไตยที่สะท้อนเสียงข้างมากของประชาชน และปกป้องสิทธิของคนส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะควบคุมการใช้อำนาจได้”
รัฐประหาร เปิดกล่องความขัดแย้งในสังคมไทย
ขณะที่ รศ.ดร.สุรชาติ กล่าวถึงการรัฐประหารปี 2549 เป็นการเปิด "กล่อง" ที่บรรจุความขัดแย้งบางอย่างในสังคมไทย โดยเชื่อว่าความขัดแย้งชุดหนึ่งคือ สังคมเมืองและชนบท ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นบนและชนชั้นล่าง โดยซ่อนโครงสร้างความขัดแย้งใหญ่อยู่ด้วย นั่นคือ ความสัมพันธ์ของทหารและพลเรือนที่จากการเลือกตั้ง รวมถึง ความขัดแย้งในระบบทุนนิยม ซึ่งผลพวงอย่างนี้ทำให้เห็นปัญหาประมาณ 10 เรื่องซ่อนอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่
1.การเมืองต้องเผชิญกับการไร้เสถียรภาพอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
2.สังคมไทยอยู่บนภาวะการเผชิญหน้าและแตกแยก และ ความเป็นขั้วที่สูงที่สุด
3.จะทำอย่างไรกับการเมืองภาคประชาชนที่ยังอ่อนแอ
4.ความอนุรักษ์นิยมขับเคลื่อนผ่านเสาหลัก 5 เสา ตุลาการภิวัติน์ สื่อภิวัตน์ ประชาภิวัตน์ ปัญญาชนภิวัตน์ และ เสนาภิวัตน์ โดยเชื่อว่าทิศทางและเสาหลักนี้จะยังขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ
5. การเมืองของมวลชนบนถนนจะมีมากขึ้น
6.พลังของการรัฐประหารไม่เหมือนเก่า อาจต้องเริ่มคิดใหม่ในส่วนของบทบาททหารกับการเมืองไทย
7.เราจะเห็นพื้นที่ของการเมืองใหม่ กระแสใหม่และตัวแสดงใหม่
8. ชนชั้นนำยังเชื่อในประชาธิปไตยแบบชี้นำ โดยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำ
9. ไม่มีแนวทางประนีประนอมและปรองดอง โดยมองว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเด็ดขาด หรือ คุยไปเรื่อยๆจนถึงจุดยุติที่ต่างฝ่ายต่างยอม ซึ่งไทยไม่เกิดบรรยากาศทั้งสองอย่าง
และ 10. โลกรอบๆรัฐไทยกำลังเปลี่ยนแปลง ทำให้ไทยถูกปิดล้อม
อำนาจอธิปไตยยังไม่ใช่ของ ปชช. อย่างแท้จริง
ขณะที่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า 80 ปีที่ผ่านมาเป็นปัญหาที่สำคัญ คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยจริงหรือไม่ แค่ไหน และมีความขัดแย้งของผู้ที่มีอำนาจ หรือองค์กรที่มีอำนาจที่ยึดโยงกับประชาชนและอีกฝ่ายคือผู้ที่ไม่ยึดโยงกับ ประชาชน ซึ่งพบว่า 80 ปีมานี้ ไทยปกครองกันมาโดยผู้ปกครองที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนลำพังค่อนข้างนาน และเป็นผู้ปกครองที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนอยู่ในฐานะที่มากกว่าและครอบงำอยู่
“ความขัดแย้งทางสถาบันกำลังจะพัฒนาไปสู่การที่ ศาลรัฐธรรมนูญกำลังขยายขอบเขตอำนาจของตนเอง และมีอำนาจสูงกว่าอธิปไตยอื่น ซึ่งตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ คงไม่อยากให้ศาลมีอำนาจสูงสูด ซึ่งสำหรับบทบาทของตุลาการ ถ้าในแง่ของการดูแลความถูกผิด รักษากฎหมาย มีปัญหาอยู่ตรงที่การไม่มีการยึดโยงและไม่สามารถตรวจสอบได้โดยประชาชน และมีปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ บทบาทของฝ่ายตุลาการที่เป็นฝ่ายที่รับรองการรัฐประหาร และทำให้รัฐธรรมนูญใน 80 ปีไม่ใช่สูงสุดจริง อำนาจอธิปไตยไม่เป็นของประชาชนเลย”
ห่วงประชาธิปไตยยังไม่พ้นภัย หากเกิดเผด็จการรัฐสภา
ด้าน นายจุรินทร์ กล่าวว่า ระบบประชาธิปไตยไทยยังล้มลุกคลุกคลาน โดยเราเผชิญกับการปฏิวัติ รัฐประหาร เผชิญกับปัญหาเผด็จการทหาร ซึ่งจะตัดตอนเฉพาะหลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ไม่ได้ ในขณะที่ปัญหาของประชาธิปไตยใหม่ยุคปัจจุบัน คือเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนเผด็จการทหารเป็นเผด็จการรัฐสภา ที่ไม่ได้หมายถึงมีเสียงข้างแล้วเผด็จการ แต่หมายถึง การใช้เสียงข้างมากผ่านกลไกบริหารนิติบัญญัติและกลไกอื่น เพื่อให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ และผลประโยชน์ทุกรูปแบบ หรือที่เรียกว่า กินรวบกินเรียบประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นภัยใหม่ของระบอบประชาธิปไตย และในที่สุดก็จะกลายเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การเกิดเผด็จการทหาร โดยอ้างเผด็จการรัฐสภา และวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์บ้านเรา
“ความจริงกรณีวิกฤตความขัดแย้งเกิดขึ้น ถ้าให้ 2549 เป็นเส้นกลาง ต้นเหตุ ผู้ขัดแย้งที่แท้จริงคือระบอบเผด็จการรัฐสภา กับผู้ต่อต้าน ในยุคก่อน 19 กันยาฯ มาจนถึงปัจจุบันคู่ขัดแย้งก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เป้าหมายต่างกัน ปัจจุบันไม่ใช่เรื่องการสืบทอดอำนาจ แต่เป็นความต้องการเงินและอำนาจคืน กับฝ่ายที่ต่อต้านโดยเห็นว่า มาเอาคืนเงินและอำนาจคืนนั้นไม่ถูกต้อง และต้องการให้ทุกคนเคารพกติกา” นายจุรินทร์ กล่าว และ ว่า สำหรับทางออกระยะยาวของประเทศในการนำไปสู่การสมานฉันท์ ปรองดอง คือเราต้องช่วยกันสร้างสังคมที่เคารพกฎหมาย กติกาที่เกิดขึ้น เป็นประเทศที่ปกครองด้วยหลักนิติรัฐ และมีหลักนิติธรรมเกิดขึ้น ส่วนในระยะสั้นต้องช่วยกันดึงฟืนออกจากกองไฟ ช่วยให้เกิดวิกฤตน้อยลง
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่กังวล นายจุรินทร์ กล่าวว่า คือประชาธิปไตย ยังไม่พ้นภัย เพราะวันสองวันนี้มีการประกาศว่า ถ้าได้กลับมาเป็น นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง ก็จะทำเหมือนเดิมอีก ซึ่งหมายถึงการฟื้นระบบเผด็จการรัฐสภากลับคืนมา และก็จะทำให้เกิดการยึดอำนาจอีกในอนาคต ประเทศจึงสุ่มเสียงที่จะย้อนกลับไปเป็นเผด็จการทหารได้อีกครั้ง
